15 September 2017
วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ – ผู้เปลี่ยนยิ้มธรรมดาสู่ ‘ยิ้มสู้’ ให้ผู้พิการ
“เราขายความสามารถ เราไม่ได้ขายความเวทนา” คำกล่าวของศาสตราจารย์วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ และผู้ที่เปลี่ยนยิ้มธรรมดาให้กลายเป็น ‘ยิ้มสู้’ ของผู้พิการ
“ยิ้มสู้ คาเฟ่” เริ่มต้นจากอะไร
จุดเริ่มต้นเกิดจากนโยบายของมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ ที่ต้องการจะสร้างฐานที่มั่นคงให้แก่ผู้พิการอยู่แล้ว เราแค่หาแนวทางและจัดการต่อไป จนเกิดเป็นไอเดียธุรกิจคาเฟ่ ซึ่งจริงๆแล้วคาเฟ่ เป็นธุรกิจยอดนิยมในหลายประเทศและกำลังเป็นเทรนด์ของประเทศไทยด้วยเช่นกัน เราจึงนำข้อมูลตรงนั้นกับข้อมูลที่เรามีมารวบรวมและต่อยอด เรามีข้อมูลที่ว่าอาชีพที่จะเหมาะกับคนพิการทุกประเภท คือการทำอาหาร เราสามารถเอาจุดอ่อนของคนพิการกลับมาเป็นจุดแข็งได้
อย่างเช่นในต่างประเทศที่มีการจัดให้ทานอาหารในบรรยากาศโต๊ะอาหารที่มืดสนิท ที่คุณไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้เลยหรือเรียกว่า Diner in the Dark จึงนำมาเป็นไอเดียเพื่อเปลี่ยนภาระให้เป็นพลัง และอีกไอเดียในประเทศอเมริกา ที่ได้ไปประชุมมา รายได้ของร้านเขาประมาณ10ล้านเหรียญ/ปี หรือประมาณ 3 พันล้านบาท/ปี เราเห็นตัวอย่างจากเมืองนอกในหลายๆเรื่องจึงนำมาลองที่เมืองไทย ส่วนการออกแบบและดีไซน์ของร้าน ผมยกหน้าที่ให้กับภรรยาคนเก่งของผม (คุณมณี สุขพูลผลเจริญ)
ชื่อร้าน ‘ยิ้มสู้’ มีแรงบันดาลใจจากอะไร
‘ยิ้มสู้’มาจากเพลงพระราชนิพนธ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชนิพนธ์ เป็นของขวัญให้คนตาบอด ให้มีกำลังใจสู้ชีวิต ตั้งแต่ปี 2495 เราก็เลยขอพระราชทานชื่อนี้มาใช้ เป็นชื่อแรกและชื่อเดียวที่เราใช้กับเครือข่ายมูลนิธิของเรา
กว่าจะมาเป็น ‘ยิ้มสู้ คาเฟ่’ ผ่านปัญหาหรืออุปสรรคอะไรมาบ้าง
ด้วยความที่มันเป็นธุรกิจ และเราไม่เคยทำมาก่อน จึงต้องมีการศึกษาหาความรู้จากหลายๆด้าน แล้วค่อยเริ่มลงมือทำ หลังจากที่เปิดร้านไปได้สักพัก อาจจะเพราะมีสื่อหลายสื่อที่นำเสนอออกไป ทำให้คนรู้จักมากขึ้น ลูกค้าจึงแวะเวียนกันมาเยอะ ในช่วงนั้นจึงเกิดเหตุการณ์โต๊ะไม่พอ บริการไม่ทั่วถึง ลูกค้ารออาหารนาน แต่เราก็ได้วางแผนแก้ไขไว้แล้ว อาจจะเป็นทำป้ายเล็กๆ ออกแบบให้สวยงาม เพื่อเวลาเสิร์ฟ พนักงานก็เก็บป้ายคืนและไว้ให้ลูกค้าถ่ายรูปอัพโชว์เช็กอินในโซเชียลมีเดียได้ด้วย
ด้วยความที่มันใหม่ ต้องจัดการดีๆ ค่อยๆเรียนรู้และแก้ไขกันไป มีการคิด Gimmick เพื่อดึงดูดลูกค้า ตอนนี้คิดไว้ว่าจะทำเมนูอาหารเป็นภาพภาษามือด้วย ระหว่างที่ลูกค้ารอก็จะได้ใช้เวลาเรียนรู้ภาษามือไปในตัว
‘ยิ้มสู้ คาเฟ่’ ต่างจากคาเฟ่อื่นอย่างไร
จุดแข็งของเราคือ การบริการของเราเป็นการบริการจากผู้พิการ เป็นคาเฟ่ที่สร้างงานให้คนพิการ ช่วยส่งเสริมให้คนพิการลุกขึ้นมาช่วยตนเอง ไม่สอนให้ติดนิสัยแบมือขอ ซึ่่งมูลนิธิได้พยายามรณรงค์คนไทยไม่ให้เงินคนพิการอยู่แล้ว จะให้สนับสนุนองค์กรที่ช่วยให้คนพิการให้ลุกขึ้นมาช่วยตัวเองมากกว่า หรือจะเป็นการสนับสนุนสินค้าหรือบริการที่ทำขึ้นด้วยฝีมือคนพิการ
[dropcap type=”default”]“เราขายความสามารถ เราไม่ได้ขายความเวทนา”[/dropcap]
อะไรคือเรื่องยากที่สุด ในการบริหารดูแล ‘ยิ้มสู้ คาเฟ่’
ผมไม่เคยคิดว่าอะไรมันยากที่สุด ผมพยายามบอกทุกคนว่าปัญหาคือสิ่งที่ทำให้เราสามารถพัฒนาและแข่งขันได้ดีขึ้น เมื่อไรที่เราปฏิเสธปัญหาเราก็จะแข่งสู้ใครไม่ได้
อันนี้ถือว่าสำคัญ เราจึงจำเป็นที่ต้องปลูกฝังคนของเรา ให้มีความคิดแบบนี้ เมื่อไรก็ตามที่เขาเริ่มมองว่าปัญหาเป็นภาระ นั่นคือจบเลย เขาจะไม่สู้อีกต่อ แล้วยิ่งโลกปัจจุบันมีการแข่งขันสูง การปลูกฝังความคิดที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องที่ผมมองว่าสำคัญกว่าคิดว่าปัญหาคืออะไร
ผู้พิการที่จะเข้ามาทำงาน ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร
ความจริงแล้วมูลนิธิของผมหรือยิ้มสู้คาเฟ่เองยินดีรับผู้พิการทุกประเภท แต่ตอนนี้เราพัฒนาผู้พิการหูหนวกก่อน เพราะถือว่ายากสุด คนที่สนใจ ขอแค่มีใจอยาก ใจอยากจะฝึกฝน ใจอยากเรียนรู้ หรือสิ่งพวกนี้เขาเรียกว่าคุณสมบัติ (หัวเราะ)
แพลนในอนาคตของยิ้มสู้เป็นอย่างไร
อยากพัฒนาให้ ‘ยิ้มสู้คาเฟ่’ เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม โดยจะเชิญภาคธุรกิจ เข้ามาร่วมลงทุน เพื่อขยายเครือข่าย เพิ่มความมั่นใจให้คนพิการ เมื่อเวลาที่เขาอยากไปประกอบธุรกิจเป็นของตัวเอง
ถ้าหากเราสามารถพัฒนาให้เป็นรัฐวิสาหกิจได้ รายได้ส่วนนึงจะนำไปช่วยสังคมในเรื่องอื่น ที่มองไว้คืออยากช่วยกลุ่มผู้ต้องขัง เพราะคนกลุ่มนี้เป็นบุคคลที่คนทั่วไปไม่ไว้ใจและยังขาดโอกาสเริ่มต้นใหม่อยู่ เป็นการส่งต่อและเปิดโอกาสให้กับคนทุกกลุ่ม
ฝากถึงผู้พิการที่กำลังรู้สึกท้อและต่างจากคนอื่น
ลองท่องคาถา “ตาบอดทำได้ทุกอย่าง” แล้วเราก็จะทำสิ่งต่างๆได้ด้วยตัวเอง และต้องพยายามหาเรื่องที่ท้าทายทำเพื่อพัฒนาตัวเองด้วย เมื่อเราสู้กับตัวเองได้แล้ว ต่อไปคือการทำตัวเองให้มีประโยชน์ รู้จักให้อย่าไปคิดว่าตาบอดแล้วต้องแบมือขอจากคนอื่นตลอด แต่ตอนนั้นคิดว่าการช่วยตัวเองยังยากเลย จะไปให้อะไรเขาได้ แต่จริงๆแล้วแค่การยิ้มเป็นสิ่งที่เราให้ได้ เพราะการยิ้มช่วยให้คนคิดจะฆ่าตัวตาย ช่วยไว้หลายคนแล้ว แล้วก็บริจาคเลือด สภาพภายนอกเราจะเป็นแบบไหนแต่ก็ตาม แต่เลือดของทุกคนยังคงสำคัญและจำเป็นกับอีกชีวิต
ทำไมทุกคนถึงต้องมาลองทาน ‘ยิ้มสู้ คาเฟ่’
อยากจะเชิญชวนคนไทยที่สามารถมาสนับสนุน ‘ยิ้มสู้คาเฟ่’ ร้านอาหารร้านกาแฟของเรา นอกจากได้ทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่อร่อยแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนให้คนพิการลุกขึ้นมาช่วยตัวเอง ไม่ต้องการสนับสนุนให้คนพิการแบมือขอ เพราะถ้าคนพิการลุกขึ้นมาช่วยตัวเองแล้วทำได้ มันก็จะเป็นพลังบวกให้กับคนต่อไป ไม่ใช่เฉพาะกับคนพิการแต่ยังหมายถึงคนที่ท้อแท้คนอื่นด้วย
Yim Soo Cafe
มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ เบอร์ติดต่อ 02-8861188
ติดตามข่าวสารจาก หมีสาระ
Facebook : www.facebook.com/mheesaradotcom/
Twitter : https://twitter.com/mheesara
บทความที่เกี่ยวข้อง
หนึ่ง นะครับ (ศักดา ถือมั่น) – คนขับรถส่งอาหาร
02 November 2020
ดาร์ท (ธนทร ศิริรักษ์) – นักพากย์เสียงโฆษณา
12 October 2020
ไอติม (พริษฐ์ วัชรสินธุ) – แนวคิดยกเลิกระบบเกณฑ์ทหาร
17 September 2020