28 August 2020
เบล ขอบสนาม – เสียงพากย์สร้างเงินล้าน
เบล ขอบสนาม ผู้ก่อตั้งบริษัท ขอบสนาม จำกัด จากพนักงานประจำเงินเดือน 2 หมื่นบาท สู่ CEO เจ้าของบริษัททำรายได้ปีละ 20 ล้าน พร้อมเปิดทุกเรื่องราวที่ผ่านมากว่าจะมายืนถึงจุดนี้
จุดเริ่มต้นของการทำ “เพจขอบสนาม”
จุดเริ่มต้นขอบสนามก็คือเราต้องการเเค่รายได้พิเศษ ในวันนั้นผมเป็นแค่พนักงานตำแหน่งครีเอทีฟอยู่กับพี่บี้เดอะสกานะครับ เเล้วตอนนั้นเราก็ทำงานอยู่ในจุดๆ นึงเเล้วเราก็คิดว่า เราน่าจะมีงานเสริมเพราะว่าด้วยเงินเดือนของเราในวันนั้นสองหมื่นบาท เราก็คิดอยู่ในหัวเราว่าการมีเงินเดือนสองหมื่นมันจะไปทำไรได้และความก้าวหน้าในชีวิตคืออะไรนอกจากการทำงานอย่างเดียว เราก็เเค่หางานเสริมพิเศษ ประกอบกับความโชคดีมีรุ่นพี่คนนึงในมหาลัยมีมาบอกว่าผู้ใหญ่ใจดีคนนึงเขากำลังต้องการทำเพจฟุตบอล และพี่เขาก็เสนอชื่อเราไป คือตอนนั้นเราเป็นคนที่ทำงานมาเเบบหลากหลายเเล้ว เราก็รู้สึกว่าเราน่าจะทำได้ เราก็เลยรับปากทำกับเขา ตอนนั้นเราทำมันเป็นชื่อเพจฟุตบอลชื่อ “เพจตุงตาข่าย”
เรานำคอนเซ็ปต์การอ่านข่าวในโลกออนไลน์ เเต่ด้วยความที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของเราถูกจ้างมาอีกทีให้สร้างมันขึ้นมา สิ่งที่มันเกิดขึ้นคือครีเอทีฟมักจะคิดไม่เหมือนกันกับนายทุนเพราะเเน่นอนเเหละด้วยประสบการณ์ของครีเอทีฟการตกผลึกทางความคิดมันเเตกต่างกับคนที่เป็นนายทุนอยู่เเล้ว เเละผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ของเราเเล้ว เราไม่ได้สร้างมันขึ้นมาแต่เราถูกจ้าง เรารู้สึกว่าต่อให้เราโด่งดังพันล้านหมื่นล้านมันก็ไม่ใช่ของเราอยู่ดี เราก็เลยถอยออกมาเเต่ถอยออกมาวันนั้น
ผมกลับมาร้องไห้ที่เดอะสกาคือเสียดาย ทำมาหนึ่งเดือนตอนนั้นน่ะมันเจ็ดหมื่นไลค์ ซึ่งในวันนั้นของผมเจ็ดหมื่นไลค์ภายในเดือนเดียวคือมัน success มากเลยนะ ในเด็กคนนึงอายุ 23-24 ทำงานมา เเต่ต้องทิ้งมันไป เเล้วเงินก็ยังไม่ได้อะไรเลย เเต่สิ่งที่ได้ก็คือเหมือนค้นพบเเล้วสิ่งที่ได้จากตุงตาข่ายในวันนั้น ที่ผมคิดคือผมเจอทางของผมเเล้ว ผมรู้เเล้วว่าผมจะต้องไปยังไงต่อ และพี่บี้มาตบไหล่และก็บอกเราว่า “มึงมาร้องไห้เสียใจทำไมในเมื่อไหนมึงบอกว่าเสียงอยู่กับมึง มึงคิดว่าตุงตาข่ายดังเพราะมึงไม่ใช่หรอ” เราก็ปาดน้ำตา เช็ดกระดาน เขียนคอนเซ็ปต์ใหม่สร้างใหม่หมดจนมาเป็นขอบสนาม
เริ่มทำด้วยตัวเองคนเดียวเลยหรือเปล่า
ถูกต้องครับ วันนั้นผมนั่งคิดเขียนชื่อออกมา มีทั้งขุดสนาม เจาะสนาม ขอบสนาม เพราะผมคิดว่าถ้าจะทำอีกทีผมต้องสุดเเล้วนะ ด้วยองค์ความรู้ที่สั่งสมมาตลอด 10 ปีที่ทำในวงการ เเล้วก็ตอนนั้นเราอยู่กับพี่บี้มาพอสมควรเเล้ว เรารู้เเล้วว่าต้นจนจบของกระบวนการทำงานในโลกโซเชียลมันเป็นอย่างไร เราจะทำของเราบ้าง ในเเบบของเรา ความโชคดีคือหนึ่งเราคิดคนเดียวก็จริงเเต่เราต้องการความร่วมมือ คนที่จะประสบความสำเร็จมันไม่มีใครเดินคนเดียวเลยครับมันต้องมีคู่คิด เเน่นอนทุกคนต้องมีข้อเสียของตัวเอง ทุกคนต้องมีดี ไม่งั้นเราจะมาหา SWOT กันทำไม เเต่ผมโชคดีคือวันนั้นผมไปเล่าให้เพื่อนฟังและเพื่อนผมก็เห็นเหมือนผมคือเชื่อในคำพูดผม ก็เลยลาออกจากงานมาเลยด้วยความคิดนี้นี้นั้นเเหละคือสิ่งที่ผมคิดว่า มันไปได้ก็เลยทำ
ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้ลาออกจากที่นี่นะเราก็ทำไปสองอย่างพร้อมกัน ซึ่งตอนนั้นเราคิดไปว่า เราจะไม่เสียอะไรเเต่งานที่เราทำมันใช้พลังงานทั้งสองงานเลย คือหนึ่งอยู่กับพี่บี้เราก็ต้องใช้สมอง สองมือทำทั้งวันเเล้วเราก็ออกกล้องด้วย ออกมาคิดด้วย ขายด้วย มันก็เหนื่อย เเล้วตอนกลางคืนที่เราต้องนอนกลายเป็นเราเอาเวลามาทำขอบสนามอีก มันกลายเป็นว่า 24 ชั่วโมง ผมใช้เวลานอน 4 ชั่วโมง พอนานขึ้นผมก็ป่วย เสียงหาย วันที่เสียงหายไปถ่ายรายการพี่บี้วันนั้นผมก็เริ่มคิดในหัวเเล้วว่าผมต้องเลือกเเล้ว ผมก็เลยตัดสินใจว่าผมจะออกมาทำขอบสนามดีกว่า
เพจเปิดใหม่แบบเรา จะสู้เพจใหญ่ที่มีอยู่แล้วได้เหรอ ?
ผมไม่ได้คิดจะเเข่งเนี่ยเเหละ ผมว่ามันเลยไม่ยากสำหรับผม ผมรู้สึกว่าเมื่อก่อนเราถูกปลูกฝังด้วยระบบการเเข่งขันตั้งเเต่ยุค 3, 5, 7, 9, 11 เเละ ITV ทุกคนต้องเเข่งกัน เราไม่เคยเห็นดาราข้ามช่องกันใช่ไหมครับ คุณไม่เคยเห็นอั้ม พัชราภามาจับคู่กับดาราช่อง 3 เพื่อจะสร้างละครยิ่งใหญ่สักเรื่องนึงเพื่อเป็นประโยชน์ต่อเเฟนๆ เเต่นั้นไม่ใช่วัฒนธรรมของโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กยุคนี้ เพราะยุคนี้ทุกคนต้องร่วมมือกัน ไม่งั้นจะไม่เกิดคำว่า collaboration เพราะว่ามันเปลี่ยนไปเเล้วครับ
วัฒนธรรมวันที่ผมเริ่มทำขอบสนามผมเลยคิดว่าผมไม่ได้เเข่งกับใคร เราไม่ได้ no name หรืออะไร เราเเค่เรียนรู้ตลาดและสร้างเป็นงานของเรา เป็นอาชีพของเรา วันนั้นผมก็เเค่ดูทุกอย่างเเค่นั้นเอง ผมก็เลยคิดว่าผู้ชายทุกคนยังไง 80% ยังไงก็ต้องชอบฟุตบอล เเต่เขาจะชอบฟุตบอลเเบบไหนล่ะ เขาจะอยากดูเเบบไหนละ นี่คือสิ่งที่ผมมานั่งดูว่าในตลาดมันมีอะไรบ้าง
ผมก็นั่งดูทั้งวันทั้งคืนเเละสิ่งที่หลายคนอาจจะมองข้ามในการวางเเผนทำงานตอนเเรกสุดก็คือการเขียน mind mapping สิ่งที่เด็กทุกคนไม่อยากทำตอนประถม มัธยมคือ mind mapping เเต่ผมมาเรียนรู้ตอนอายุโตขึ้นว่าเเม่งมีผล มีประโยชน์มาก มันทำให้เราจดจำว่าเราคิดอะไร เเตกอะไร เเล้วก็ทำอะไรให้มันไม่เหมือนกับสิ่งที่มีอยู่ ซึ่งผมทำเเล้ว เเละผมทำบ่อยมากคือการ mind mapping ไปนั่งดูเพจนี้มันมีอะไร เพจนั้นมีอะไร จดจุดเด่นของเขาคืออะไรทำไมมันถึงขึ้นไปเเสนได้ ผมคิดว่าไม่มีฟลุ๊คหรอกครับ เราก็นั่งดูจุดเด่นทุกคนโอเค งั้นเราก็ต้องสร้างจุดเด่นของตัวเองเหมือนกัน
ตัวตนหรือจุดเด่นของเพจขอบสนามคืออะไร
จุดเด่นของมันก็คือความตลกครับ เเค่นั้นเเหละที่ผมรู้สึกว่าขอบสนามเเตกต่างจากที่อื่น คือความตลกที่มันใส่ลงไป เพราะผมมองว่าด้วยอุตสาหกรรมบ้านเราวัฒนธรรม perception คนจำนวนมากเขาไปทางตลกหมดนะ ผมย้อนดูจากอดีต คนเราจะสำเร็จก็ต้องศึกษาอดีต ผมก็ดูเลยจากอดีต ว่าเมื่อก่อนหนังอะไรดังๆ ละครเรื่องอะไรดังๆ รายการอะไรเกิดบ้าง ผมมาค้นพบเยอะเเยะเลยว่าตลกอะวิน รายการที่ชัดสุดเลย รายการทีวีที่อยู่ข้ามปีข้ามชาตินิคือ ชิงร้อยชิงล้านผมยังไม่เกิดเลย 2534 เเล้วผมยังไม่เกิดเลย จนวันนี้พี่หม่ําพี่เท่งพี่โหน่งยังนั่งตบหัว จนปั้นเด็กรุ่นใหม่มากี่รุ่น กี่รุ่น เเต่พี่หม่ําพี่เท่งพี่โหน่งต้องยังอยู่คือไอคอน เพราะความตลกเหล่านั้น
ผมก็คิดเเค่นี้ว่าถ้าเรามาทำฟุตบอลเนี่ยเราไม่ต้องเจาะวิเคราะห์ เราไม่ต้องพากย์ว่า นักเตะคนนี้อยู่ที่ไหนมา ประวัติเป็นอย่างไร ยิงไปกี่ประตูเเล้วซีซั่นนี้ เเล้วฟอร์มนัดหน้าจะเป็นอย่างไร ลองไม่ต้องวิเคราะห์ใส่ตลกเเม่งไปเต็มที่เลย เเล้วเอาเเค่ฟุตบอลเป็นฉากหน้า เเล้วถ้าคนสนใจฟุตบอล ผมคิดว่าถ้าคนชอบฟุตบอลที่ผมทำเดี๋ยวเขาก็ไปศึกษาเองเเหละว่าทีมนี้ที่ผมพากย์ชื่อทีมอะไร แต่ถ้าอยากจะรู้จักแบบเจาลึกจริงๆ ก็มีตำนานอีกมากมายในวงการเลยครับมีพี่บอ.บู๋ มีแจ็คกี้ มีบิ๊กจ๊ะ มีอีกหลาย 10 เพจที่เขาเจาะลึกมากกว่า ผมเพียงเเค่มองเห็นว่าวิธีของผมมันน่าจะถูกใจผมเเละมันน่าจะถูกใจคนหมู่มากเเค่นั้นเองนั่นคือจุดเด่นของขอบสนาม
คอนเทนต์ที่ขายได้ต้องตลกเท่านั้นเหรอ ?
5 ปีที่เเล้ว อาจจะใช่ อาจจะถูกหมดสำหรับสิ่งที่ผมพูด เเต่วันนี้ก็ไม่ใช่ไม่งั้นวันนี้ผมก็ยังตลกอยู่อย่างเดียว วันนี้ผมคิดว่ามันต้องครอบคลุม วันนี้เราต้องไปให้หลากหลาย เพราะวันนี้ไม่ได้มีเเค่ขอบสนามมีอีก 100 เพจ มีอีก 100 Influencer ที่ทำเหมือนคล้ายๆ เรา ซึ่งผมมองว่ามันไม่ผิด มันดีด้วยซ้ำ เพราะผมมองว่านี้เเหละคือสิ่งที่ผมต้องการ ผมต้องการให้คนมาสนใจวงการฟุตบอล เพราะเมื่อคนสนใจเยอะ viewer มันเยอะ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือสปอนเซอร์มันก็มาไง เเล้วเราก็ได้จะ Happy กันทั้งวงการ ผมคิดเเค่นี้เลย
ดังนั้นเนี่ยตอนที่ขอบสนามสร้างขึ้นมาจุดเด่นที่เเตกต่างจริงๆ วันนีเนี่ยผมมองว่าต้องครบเเล้ว ไม่งั้นวันนี้ผมไม่มีทีม 30 คน ไม่มีทีมที่ต้องไปหาเรื่องมาวิเคราะห์ มาเจาะลึก เเต่ผมรู้สึกว่ามันยังวาง position ตัวผมเหมือนเดิม ผมเป็นคนตลก content ที่มาจากผมตลก ผมเองคงไม่ว่างตัวเองเป็นนักวิเคราะห์ก็ผมไม่ใช่อะผมรู้ตัว เเต่ผมจะปั้นคนขึ้นมาจะปั้นคนรุ่นใหม่ขึ้นมาที่เขามีใจอยากจะทำตรงนี้เเต่ในนามขอบสนาม ผมรู้สึกว่าวันนี้ผมก็ไม่ได้มองเเบบเดิมเเล้วว่าตลกวิน วันนี้ตลกคนยังสนใจมากที่สุดเพราะวันนี้ content ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในขอบสนามเเม้จะมีหลายสิบช่วงเเล้วก็ตาม มันก็จะเป็น content ขอบสนาม Top 10 อยู่ดี
ทำไมถึงใช้คำว่า “Content is king”
ต่อให้คุณไม่มีช่างตัดต่อเลย เพราะวันเเรกผมไม่มีช่างตัดต่อผมไม่มีคนทำ CG ไม่มีคนเขียนข่าว ไม่มีอะไรเลย ผมมีคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องกับไอเดีย สองอย่างนี้มาผสมกัน ถูกที่ ถูกเวลา ถูกทาง ถูก platform สามเดือนต่อมาผมก็เป็นอีกคนนึงเลย
เคล็ดลับความสำเร็จในการทำเพจ
ผมรู้สึกว่าผมคลุกคลีมาบ่อยมากกว่าก่อนที่ผมจะเปิดขอบสนาม ผมเล่น Facebook มาตั้งเเต่ปี 2009 ผมมั่นใจว่าผมน่าจะเป็นล้านไอดีเเรกที่เข้าไปเล่น Facebook เพราะวันเเรกที่เล่น Facebook ยังไม่เข้าใจมันเลยเรายังไม่เข้าใจคำว่า Wall เลย จนมาเรียนรู้ว่า Facebook มันคือระบบนึงที่คุณสามารถพ้นอะไรขึ้นไปบนฟ้าเเล้วจะมีคนมาปฏิสัมพันธ์ด้วย เเล้วเราก็เรียนรู้ว่ามันมีระบบกลุ่มเเล้วมีคนเป็นหมื่นได้ สมัยก่อนยังไม่มีเพจนะ จากนั้นมาเราก็ไปเป็นเเอดมินเพจนายแก๊กอินไทย
เรานั่งดู Facebook จนเราว่าเราก็น่าจะทำได้ ซึ่งวันนี้คนเราเหล่านี้เยอะมากนะ คนที่คิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นเเค่ Viewer เเต่สามารถเป็น Creator ได้ ก็เลยส่งข้อความไปขอเขาเลย “ผมอยากจะเป็นเเอดมินเพจนายแก๊กจังเลยครับ มีอะไรต้องพิสูจน์ตัวเองบ้างครับ” นอนรออยู่สามวันสามคืนกว่าจะตอบกลับว่า “ไม่ต้องพิสูจน์ไร มาลองเลย” เเละความโชคดีคือจังหวะที่เราได้ลองมันถูกที่ถูกเวลาคือ 9GAG ดังพอดี เราไปเป็น Creative จังหวะที่มันต้องออกทีวี เราเรียนนิเทศมา เราฝึกการพูดมาอย่างถี่ถ้วน วันนั้นเขาต้องการคนออกทีวีไปสัมภาษณ์ว่าทำไมถึงทำ 9GAG มีเเนวคิดอะไร ไม่มีใครไปออก อาจจะไม่กล้าไม่ว่าง หรือจะด้วยอะไรก็เเล้วเเต่โอกาสก็ตกมาหาผมเพราะผมกล้า
เหตุผลที่ผมกล้ามาทำงานเพจ Facebook เพราะคิดว่าไม่บูมวันนั้นเเต่เดี๋ยวบูมเเน่นอน เพราะอะไรรู้ไหม เพราะถ้าวันนั้นเราเป็นคนช่างสังเกต เราจะเห็นพฤติกรรมคนมันเปลี่ยนไปเอง ผมสังเกตจากพ่อเเม่ก่อน เมื่อก่อนสองทุ่มอาบน้ำ สองทุ่มสิบห้าตักคงตักข้าวหน้าทีวี สองทุ่มครึ่งละครมา ช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 7 มีอยู่สามอย่าง สักวันนึงมาผมเห็นพ่อเเม่เขาเปลี่ยนไป สองทุ่มเขานอนหรือไปทำอย่างอื่นเขาปล่อยละครไปเเต่เขาจะมานั่งดู Youtube ในมือถือของเขาหรือคอมพิวเตอร์ของเขาในตอนเช้าหรือเที่ยงวันต่อมา ผมเห็นพฤติกรรมของเขาเปลี่ยนไป ผมรู้สึกว่าพ่อเเม่ผมเขาไม่ได้เป็นคน high tech นะเเต่เขายังเปลี่ยนพฤติกรรมเสพสื่อของเขาเอง เขาไม่ต้องมานั่งรอละครเเล้ว หรือทำไมต้องมานั่งรอโฆษณา 15 นาที
คือมันเปลี่ยนไป ผมรู้สึกว่าพ่อเเม่เรายังเป็นยังเป็นแบบนี้เลย เเล้วอีกกี่ล้านครัวเรือนข้างนอกที่เขาจะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมของเขา
ผมก็เลยมองและคิดว่าทีวีน่าจะไม่มีคนดูในอนาคต เพราะมันจะเป็นยุคที่ content ต้องตามคุณ คือคุณจะดูอะไร content จะมีให้คุณเลือกเลย ถ้าคุณจะฟังเพลง สมัยก่อนต้องไปขอดีเจ ซื้อเทปเปิดวนหา และก็เปลี่ยนมาเป็น CD track ค่อยยังชั่ว เเต่เดี๋ยวนี้เงินก็ไม่ต้องเสียเเค่อยากฟังเพลงอะไรเปิด Youtube พิมพ์เอาเลย ผมก็เลยคิดว่าอีกหน่อยมันต้องเป็นเเบบนี้เเน่ คนทั้งหมดต้องเข้ามา Facebook เพื่อจะหาอะไรที่ตัวเองอยากดูโดยที่ไม่ต้องรอ ดังนั้นถ้าเราคิดออกตอนนี้เเละเราคิด content มาขายก่อน มันก็เหมือนคุณมาเข็นมาเปิดตลาดอันเเรกซึ่งเป็นตลาดใหญ่มาก ตอนที่เปิดขอบสนามเราเป็นคนเเรกที่เริ่มวิธีกรรมเเบบนี้ ดังนั้นคนที่จะมาทำเเบบนี้ มันจะมาช่วยเราสร้างให้วงการนี้มันตูมขึ้นเอง ผมคิดเเค่นี้เลย ไม่ได้คิดว่าคนที่จะมาเเข่งคือคนที่จะมาทำเพจเหมือนเรา หรือพากย์เหมือนเราจะมาเป็นคู่เเข่งเรา เเต่ผมกลับคิดว่าต่อไปนี้ถ้าคนมาทำเหมือนเราจะเป็นสิ่งที่ทำให้วงการนี้มันยิ่งดังขึ้นไปอีก โดยที่ผมไม่ต้องเหนื่อยเพราะมีคนมาช่วยให้มันเจาะลึกขึ้น โดยที่วงการนี้พวกเราช่วยกันครับ
ค้นพบลีลาสไตล์การพากย์แบบนี้ได้อย่างไร
ตอนนั้นเราก็อ่านเสียงของเรา ตอนเเรกอ่านยังปกติอยู่เลยนะ แต่มีอยู่ครั้งนึงเราต้องทำขอบสนาม Top 10 เรียกว่า content เปลี่ยนชีวิตของตัวเองละกัน เราไปหยิบ content อันนึงที่เป็น content 10 วีรกรรมความระยำของนักฟุตบอลที่ชื่อว่า “เปเป้” เป็นกองหลัง ด้วยความที่ในคลิปวันนั้นมันกระโชกโหกหาก แบบมีเตะเขา กระทืบ ผมก็เลยขึ้นเสียงขึ้นมาเพื่อที่จะให้มันเข้ากับคลิปที่เราพากย์ คนชอบมากเลย ชมกันมาเพียบเลย คือมองว่าเปเป้มาเมืองไทยเมื่อไหร่ช่วยบอกผมจะไปกราบเท้าเขา เพราะเขานนี่เเหละทำให้ผมมีวันนี้ มีบริษัท เป็น CEO มีเงิน มีบ้าน มีรถ มีชีวิตที่สุขสบายตั้งเเต่อายุยังไม่ 30 “เปเป้ ป.ประมุข” คนนี้ที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้ผมค้นพบสไตล์การพากย์ของตัวเองว่า คนที่นี่เขาชอบเสียงเเบบนี้ การพากย์เเบบนี้ รูปเเบบๆ นี้ เสียงเเบบนี้
ถ้าไม่มีเสียงพากย์ของเบลแล้ว คิดว่าเพจขอบสนามยังไปต่อได้ไหม ?
หลายๆ ครั้งมีคนชอบพูดกับผมนะว่าจริงๆ เเล้วขอบสนามไม่มีจริงหรอก มันคือตัวผม เเต่ผมไม่อยากให้มันเป็นเเบบนั้นเลย ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผมพยายามหนีอย่างนั้นอยู่ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่สร้างคนชื่อเกมขึ้นมา พี่นัทขึ้นมา คนโน่นคนนี้ขึ้นมา
เพราะผมรู้สึกว่าขอบสนามต้องเป็นของทุกคน มันจะมาผูกอะไรกับผม ถ้าผมเป็นคนที่รู้สึกว่ารักสบายผมเลิกทำไปเเล้ว
วันนี้ผมรู้สึกว่าผมไม่อยากให้คนมองว่า ขอบสนามคือเบล ผมอยากให้ขอบสนามมันคือที่ที่คนชอบฟุตบอลในรูปเเบบสนุกสนานเเล้วกัน ถ้าคนจะมองว่าขอบสนามเป็นเสียงไอเบล ใช่ถ้าผมจงใจทำอย่างนั้น ผมก็ทำได้ก็คือการที่ไม่เอาใครขึ้นมาเป็นผมอยู่อย่างนี้ไม่ต้องขายบริษัท จะให้ใครมาบริหารทำไมอยู่กับผมนี่ มีเเต่ผมคนเดียว เเต่ผมไม่ต้องการอย่างนั้น ทุกวันนี้ผมเลยทำเเบบอื่นบ้างให้คนอื่นขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องมีผม รายการที่รันตั้งเเต่ต้นจนจบโดยที่ไม่ต้องมีเสียงผมก็มีรายการภาพที่มันไม่ต้องมีภาพเบลก็มี เเล้วมันก็มีหมื่นไลค์ สองหมื่นไลค์ มีคนดูเป็นเเสนได้โดยที่ไม่ต้องมีเบล ผมโครตดีใจเลยที่วันนี้ผมทำอย่างนั้นได้บ้าง เพราะไม่อย่างนั้นผมรู้สึกว่าผมจะเห็นเเก่ตัวเกินไปที่มันกวาดทุกอย่างมาที่ตัวเอง
เเล้วคนอื่นก็เป็นเเค่พนักงานที่ทำให้เราดังไปเรื่อยๆ อย่างนั้นหรอ ผมไม่โอเค ผมอยากให้ขอบสนามเป็นของทุกคนครับ
ขอบสนามหลังมาดามเดียร์เข้ามาร่วมบริหารเป็นอย่างไร
เราไม่มีความเกี่ยวข้องกับมาดามเดียร์ทางใดทั้งสิ้นเเล้วนะครับ เเต่ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้นจะให้เล่า ก็เล่าง่ายๆ ว่ามาดามเดียร์คือผู้จัดการทีมชาติไทยบอลไทยที่ไปซีเกมส์นะครับ เรื่องราวง่ายๆ เลยคือวันนั้นผมได้รับเชิญให้ไปกินข้าว ก็คือเพจฟุตบอลหลากหลายเพจเลย ผมไม่รู้จักมาดามเดียร์ด้วยซ้ำ ผมรู้จักเเต่โค้ชโย้ง วรวุฒิ ศรีมะฆะ เราจะไปสัมภาษณ์เขาเเค่นั้น ผมไม่รู้จักมาดามเดียร์ หลังจากการกินข้าววันนั้น สามวันต่อมา ตอนนั้นขอบสนามก็เริ่มโด่งดังเเล้ว เพื่อนผมก็บอกมาว่ามาดามเดียร์เขาอยากคุยกับผม ผมคุยกับเขาไหม ผมก็คุยเพราะผมรู้สึกว่าผมไม่เคยปิดกันโอกาสอะไรกับตัวเองเลย ไม่ว่าโอกาสนั้นจะไม่ได้ให้เงินกับผมไม่ได้ให้ชื่อเสียง หรืออะไรเลย ผมจะทำถ้ามันช่วยใคร ผมก็ทำหลายครั้งเเล้วผมรู้สึกว่า มันอาจจะเป็นอีกโอกาสนึงก็ได้ ตอนเเรกก็คิดว่าอาจจะให้โปรโมททีมชาติหรืออะไรเเบบนี้เเต่มันไม่ใช่ มันใหญ่กว่านั้นมันคือการอยากเข้ามาร่วมสร้างฝันมาต่อยอดความฝันของเรา
ซึ่งวันนั้นผมก็รู้สึกว่าตัวของขอบสนามเองมันก็สุดเพดานในที่ตัวเด็กคนนึงมันจะทำได้เเล้วผมอายุ 27 ในวันนั้น สร้างเพจวันนั้นก็สามล้านจะสี่ล้าน มันสุดเเล้วอะครับ ถ้าจะมากไปกว่านั้นคือต้องมีเงินทุนมหาศาลมาให้ เพื่อให้สิ่งที่ผมคิดเเละมันต้องใช้ทั้งทุนเเละ creative มาให้มันเป็นไปได้ พอดีวันนั้นมันเป็นเเบบนั้นจริงๆ เขาก็สนใจ เขาบอกว่าเขาดูมาเเล้วว่าเราน่าสนใจที่สุดในตลาด อยากจจะต่อยอดความสำเร็จ เขาถามผมว่าอยากจะต่อยอดความฝันอะไรไหม ผมก็ยินดีเลย มันก็กลายเป็นสร้างขึ้นมาออกมาเป็น company
ครอบครัวที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
เปลี่ยนเยอะมาก มันก็กลายเป็นว่าเราต้องเรียนรู้ระบบบริษัท เรียนรู้การควบคุมคนที่มากขึ้น เพราะเมื่อก่อนผมมีกัน 5 คนเอง การคุยกันมันก็เลยง่าย เเต่พอวันนึงจาก 5 มาเป็น 30 เเละเราเองต้องขึ้นมาเป็นคนที่อยู่ข้างบนสุดเป็น CEO บริหาร ยูนิตนี้ เเล้วบริหารคนที่อยู่ภายใต้การบริหารการดูเเลของเราเนี่ยวัยวุฒิ คุณวุฒิมากกว่าเราทั้งนั้นเลย บางคนทำงานในวงการหนังสือ ทำงานในวงการเว็บไซต์มากกว่าเราอีก วันนี้เขาต้องมาเป็นทีมงานของเราคือฟังสั่งเรา ผมก็มีความที่คิดอยู่ว่ามันก็ต้องเปลี่ยน
เรื่องของการมองภาพ มองภาพรวม มองภาพกว้างให้มากขึ้น ไม่ได้มองเค่ตัวเองอีกต่อไป มองภาพรวมว่าวันนี้มันมีคนอีก 30 คนอยู่ข้างหลังเรา นั่นหมายความว่า 30 คนนั้นจะต้องมีลูกเมีย พ่อเเม่ ครอบครัวที่เขาต้องดูเเล เขาเอาชีวิตมาฝากกับขอบสนาม ถ้าผมวางตัวเหมือนเดิม คิดเหมือนเดิม ทำเหมือนเดิม มันอยู่ไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่เปลี่ยนเเปลงก็คือเเนวความคิด ทัศนคดิ การมองโลก ทุกอย่างผมเปลี่ยนไปหมด ตั้งเเต่ผมขึ้นมาดูเเลตรงนี้ เราคิดว่าเมื่อก่อนเราไว้ใจคน เราวางให้คนโน้นคนนี้ทำเเทนเราเพียงเพราะว่าเขาดีกับเราตรงนี้อะไรแบบนี้เเต่จริงๆ เราต้องมองลึกว่านี้ บางทีมันไม่ใช่นะ บางคนเขาไม่เข้าใจในธุรกิจนี้รูปเเบบนี้
ในเรื่องของผู้ใหญ่เอง ที่บางทีอย่างที่บอกผีเห็นผี คนมันเห็นผีคนเดียวอะ มันจะให้คนอื่นมาเห็นผีกับเรามันก็ต้องใช้การอธิบาย ซึ่งเราก็ต้องมาเรียนรู้ในการอธิบายของยากให้เป็นของง่าย ของที่เป็นสิ่ง analytic หลังบงหลังบ้านทำยังไงให้มันเป็นภาษาที่ง่ายที่สุด ก็ต้องคิดอุปมาอุปมัยภาษาขึ้นมาเอง อันนี้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนเเปลงการทำงานทุกอย่าง รวมไปถึงการที่คิดเพื่อคนอื่นมากขึ้น ผมต้องลดอะไรลงเพื่อตัวเองเยอะมากหลายอย่าง เพื่อคนอื่นเขาได้ลืมตาอ้าปากบ้าง เพราะเราเองก็คิดในมุมที่ว่า วันนึงผมเองเคยเป็นพนักงาน ผมเคยเป็นลูกน้องเขา กูยังอยากลืมตาอ้าปากได้เลยดังนั้นถ้าเราเป็นหัวหน้าคนบ้างเเล้วเราเองก็ต้องเข้าใจลูกน้องด้วย
ดังนั้นผมเอง ก็เลยมีวิธีการบริหารคนที่ไม่เหมือนคนอื่น ไม่งั้นผมก็ไม่จัดออฟฟิศให้มีกลอง มีความสนุกพวกนี้ เพราะผมรู้สึกว่าเราทุกคนต้องมีที่ในการพักผ่อน จะมานั่งทำงานทั้งวันทั้งคืนไม่ได้ ถ้าเครียด ก็ลงมาเล่นกีต้าร์ ลงมาตีกลองกัน สร้าง brand มีห้องเล่นเกม มีหนัง มีจอ netflix ให้ดู มีเกมให้เล่น ให้สบายใจมากที่สุดในการทำงาน เพราะเจ้านายมัน ทีมมัน หรือหัวหน้ามันก็เคยเป็นอย่างมันมาก่อนก็คือมันก็มีความเครียดในการทำงานเหมือนกัน ผมก็เลยมีความคิดว่าการทำงานขอบสนามมันไม่ต้องตอกบัตร 8 โมงนะ ไม่ต้องเลิก 5 โมงนะ ทำบอลอะบางที่มันต้องนอน 6 โมงเช้า คุณจะมาตอกบัตร 8 โมงหรอ ไม่มีผมเลยวิธีง่ายๆ เลยงานของผมเสร็จ ทุกอย่างที่ขึ้นตามเวลาได้ขึ้นพอผมไม่ต้องการ office hours
เเต่ office hours ควรมีนะ เพราะยังไงก็เเล้วเเต่ เราต้องเจอกันเพื่อ brainstorm การคุยกัน 3 คนดีกว่าการคิดที่บ้านคนเดียวอยู่เเล้ว เเต่ผมไม่บังคับใครเเค่นั้นเเหละครับ ผมรู้สึกว่าการเปลี่ยนเเปลงคือการมองโลก การบริหารคนมันเปลี่ยนเพราะว่าเราต้องขึ้นไปเป็นหัวหน้า
จากพนักงานประจำสู่การเป็น CEO ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างไร
แตกต่างมากครับ เพราะว่าวันนั้นเราไม่เคยได้อะไร ผมต้นทุนศูนย์ บ้านผมไม่ได้นามสกุลใหญ่โตมีเงินในบัญชีเก้าหลัก เเม่ผมเป็นเเม่ค้า พ่อผมเป็นรัฐวิสาหกิจโรงจำนำธรรมดาคนนึงเลยครับ ดังนั้นผมเลยรู้สึกว่าเมื่อก่อนเราไม่เคยมีอะไร จนวันนึงเรามีคนรู้จัก มีคนสนใจ อันนี้เป็นความรู้สึกที่โครตดีเลยเป็นความรู้สึกที่เเบบการได้รับความสนใจมันเป็นเเบบนี้หรอ เพราะเมื่อก่อนเราไม่ได้เป็นคนที่คนมาสนใจ เพียงเเต่ว่าเรามีความเป็น leader มาตลอดผมเป็นหัวหน้าห้องมาตลอดเลยนะ
ผมเป็นผู้นำคณะ อยู่ที่ไหนก็เป็นผู้นำกลุ่มมาตลอด เเต่เราไม่ได้เป็นตัวเด่นหรือมีคนรู้จัก เดินไปไหนก็มีคนรู้จักไปไหนก็มีคนจำได้ เราเข้าใจความรู้สึกนั้นเเล้วว่าการทำตัวให้ดีสาธารณะข้างนอกมันเป็นยังไง การเจอคนเเล้วนอบน้อม อย่าอารมณ์เสียนะ เวลาคนเข้ามาขอถ่ายรูป นานเเค่ไหนก็ต้องไม่เป็นไร
มันเปลี่ยนความคิดหมด จนวันเนี้ยมาเป็น CEO เรารู้สึกว่า 3 ปี 4 ปี 5 ปี เราได้รับทุกวันจนมันอิ่มเเล้ว เรารู้สึกว่าอยากให้ความรู้สึกมันไปอยู่กับคนอื่นบ้าง ถ้ามันไปอยู่กับน้องๆ บ้าง มันน่าจะรู้สึกนะดี มันไม่ใช่เเค่เรื่องความรู้สึกนะ มันเป็นเรื่องฐานะด้วย การทำงานเเบบนี้ถ้าทุกคนเเม่งรวยได้ ถ้าทุกคนมีรายได้ที่โอเคกับทุกคนได้เเล้วมีความสุขในการทำงาน เเล้วงานก็สร้างความรู้สึกดีๆ ให้ตัวเขาทั้งชื่อเสียง หรือเงินทอง หรือทุกคนมีความสุขกับอะไรไม่รู้เเหละ เเต่ถ้ามันตอบโจทย์เขาได้อันนั้นเป็นสิ่งที่ผมอยากทำในวันนี้
นี่คือความเปลี่ยนเเปลงที่มันผ่านมาคือวันนี้ ผมไม่ได้ทำงานเพื่อตัวเองเพราะว่าผมไม่ต้องจ้างใครก็ได้ ผมก็ทำได้เหมือนเดิม ไม่ต้องมีพนักงานคนไหนเลย ผมยังลุยต่อเหมือนเดิมได้เลย เเต่วันนี้ผมรู้สึกว่าไม่ได้ ทุกคนอุส่าห์มาเชื่อมั่น
ในชื่อขอบสนาม ลองคิดดูขอบสนามมันเป็นนามธรรมมากๆเลยนะมันไม่มีอยู่จริงเลย เเต่ทุกคนเชื่อว่ามันมีอยู่จริง เเฟนเพจทั้งสี่ล้านคน ใน Youtube อีกสองล้านคนเชื่อว่ามันมีอยู่จริง ผมเชื่อว่ามันมีอยู่จริงเเละมีคนเชื่อว่ามันมีอยู่จริงทำงาน ตื่นมาเพื่อมันทั้งสามสิบคน เเนวคิดก็เลยเปลี่ยนไปวันนี้ว่าเราอยากให้คนนี้มีบ้านมีรถก่อน อยากให้น้องๆ ทุกคนในใต้อาณัติเรา เขาถึงฝั่งฝันก่อน เเล้วเราค่อยหยุด เพราะตอนนี้ผมหยุดได้เเล้ว ผมไม่ต้องตื่นมาพากย์เเล้วก็ได้ตลอดชีวิต เเต่วันนี้ที่ทำ ก็เพราะว่าอยากให้ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ มีเหมือนผมได้รับความสุขเหมือนกันคือหลับสบาย ตื่นด้วยความที่ไม่รู้ว่าวันไหนวันจันทร์เพราะมันมีความสุขไง ถ้าเขามีความสุขได้เเบบนี้หมดอะ ค่อยหยุดเเล้วเจ๋งมาก ถ้าเเนวความคิดของเรา
เเม่งเปลี่ยนเด็กไทยได้อีก
ผมจะเอาเวลาใน part ต่อไปคือไปเปลี่ยนชีวิตคนข้างนอก เพราะคนข้างในเราเปลี่ยนได้หมดเเล้ว หยุด พอ ผมไม่ได้อยากดัง ผมพอเเล้ว ผมรู้สึกว่าเราเอาชื่อเสียงที่คนรู้จักเราไปสร้างโอกาสให้เด็กข้างนอกบ้างเด็กที่ไม่ได้เป็นพนักงานขอบสนามเเต่เป็นเด็กที่ลืมตาตื่นมา เเต่เป็นเด็กไทยเเค่นั้นเอง นี้คือ part ต่อไปที่ผมรู้สึกว่ามันน่าท้าทายมันเปลี่ยนความคิดตั้งเเต่ทำเพจขอบสนาม Top 10 ตลกๆ ฮาๆ ในวันเเรกมาก
เป้าหมายต่อไปของ “เบล ขอบสนาม” คืออะไร
ถ้าเป็นเป้าหมายของผมคนเดียวคือการไปเป็นนักแสดงหนัง ผมรู้สึกผมค้นพบความสุขในการเป็นนักแสดง ผมรู้สึกว่ามันสนุกดีได้ใช้ศาสตร์ ความรู้ ทั้งหมดที่ใช้มา ใช้กับตรงนี้แล้วมันสนุกมาก มันได้เรียนรู้การทำงาน แต่นั่นเป็นของผมคนเดียวนะ แต่ถ้าเพื่อคนอื่นก็อย่างที่บอกผมมีความคิดที่จะทำ ผมชอบสร้างโอกาสให้คนอื่น ไม่ใช่ไลฟ์โค้ชนะ ดังนั้นเป้าหมายในอนาคตที่คิดไว้ก็คือการไปสร้างโอกาสให้เด็กบ้าง ในเมื่อคนก็รู้จักเราตั้งเยอะเราก็น่าจะใช้ประโยชน์ตรงนี้ในการสร้างโอกาสให้เด็กเรื่องนักฟุตบอลไหม แนวความคิดในการทำอาชีพของอนาคตไหม
เราเคยถูกฟ้องหมิ่นประมาทมาโดนคุกไป 2 ปี รอลงอาญา เขาจับเราไปพูด ทำประโยชน์ บำเพ็ญประโยชน์ที่โรงเรียน การพูดให้เด็กฟัง 200 คน แล้วเด็กนั่งเงียบ เงียบกริบ เงียบแบบฟังเราเพราะว่าเขารู้จักเราไงเขาเลยเชื่อเรา มันเป็นอย่างนี้นี่เอง พูดเสร็จอาจารย์เดินมาบอกนี่คุณเป็นบุคลากรคนแรกในรอบ 5 ปีที่มาแล้วเด็ก เด็กนั่งฟัง ไม่แตกตื่น ผมรู้สึกว่าถ้ามันเป็นอย่างนี้เราสามารถนำความคิดของเราที่สำเร็จแล้ว น่าจะไปใส่เด็กได้นะ ให้เขามีความคิดที่ไม่ลบอะ positive thinking ไม่รอดแน่นอนในยุคนี้ ไม่คิดลบกับตัวเองก่อน ใครบอกว่าคิดบวกแล้วมันเป็นเรื่องลบไม่จริงอะ ผมรู้สึกว่าคิดบวกอะมันจะหาทางออกได้ เพราะถ้าคิดลบอย่างเดียวอะ มันจะหาทางออกได้ยังไง คนเราตื่นมาด้วยความโศกเศร้า ชีวิตมันก็ un activate แล้ว จิตมันไม่ active แน่นอนก็คุณตื่นมาด้วยความโศก แน่นอน
ผมก็เลยคิดแค่ว่า ผมอยากให้เด็กมี Passion ก่อนเลย ไม่ได้บอกอยากให้เด็กมามี Passion มาเป็น YouTuber เหมือนเบลนะ หรือมีพากย์เหมือนเบลนะ แค่ให้มันมี Passion ก่อนเดี๋ยวมันจะหาทางมันเจอเพราะถ้าคนเราตื่นมาเรียน ละก็จบไป 5 โมงเย็น นอน ตื่นมาโดยไม่มี Passion เลย ไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร เรียนอะไรก็เบื่อ เรียนอะไรก็เซ็ง มันจะจบมากลายเป็นแบบ Pattern อีกแล้วครับท่าน เป็นพนักงาน Pattern คนนึงที่ไม่มีความสามารถพิเศษใดๆไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร กว่าจะรู้อีกทีอายุ35 เข้าไปแล้วมันไม่ทันดังนั้นถ้าเราสอน เด็กรู้ว่าตัวเองชอบอะไรเร็วขึ้น เด็กมันน่าจะไปทำในสิ่งที่ตัวเองชอบได้ดีขึ้น ถ้าเด็กมันชอบฟุตบอล ผมก็จะอยากไปสร้าง Event สร้างจุดสนใจเพราะเรามี Connection เยอะ ทำงานตรงนี้มาสิ่งที่มันได้ สำคัญว่าเงินตรา มันคือ Connection มันคือสิ่งที่เราได้รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่คนนั้นคนนี้ ตำนานคนนั้นคนนี้ ที่เราเคยดูเขาในทีวีทวันนี้เรามีเบอร์โทรศัพท์ มีไลน์เขาเลย เราสามารถขอความช่วยเหลือเขา ขอคำปรึกษา หรือเราก็ช่วยพี่เขาได้ ในวันที่พี่เขามีเรื่องปรึกษากับเราในเรื่องโซเชียลทุกคนมันสามารถช่วยกันได้
ผมก็เลยคิดว่าถ้าเราเป็นคนจัด Event นึงบอกเด็กทุกคนว่าเดี๋ยวพี่จะไปเรียกแมวมองในสโมสรต่างๆ มาพี่มีแมวมองอยู่ ให้หนูเตะบอลแข่งกันแล้วหนูก็เตะให้เต็มที่นะเพื่ออะไรเพื่อที่ว่าแมวมอง จะได้มาเห็น Perform หนู แล้วเห็นแบบ เพชรอะ เขาจะได้เอาหนูไปปั้นแน่นอน Win สองฝ่ายเลยเด็กที่มา ก็มาเพราะเชื่อเรา พี่เบลขอบสนาม จากขอบสนามแล้วมีแมวมองมาดู ผมว่าเด็กเตะลืมตายแน่ แล้วโค้ชจะได้อะไร โค้ชที่มาเสียเวลาดู Event นี้จะได้เมสซี่เจคนที่สองไง ก็จะได้ธีรศิลป์ แดงดา คนที่สอง พี่ตอง กวินทร์ คนที่สอง ดังนั้นเนี่ยเราน่าจะสร้าง Event เพื่อให้เด็กมันมี Passion ตื่นมาเพื่อมาเตะบอลมากกว่าตื่นมาไปขับมอไซค์ ไปปาดเบาะ ถ้าเขาเป็นนักมอเตอร์ไซค์ไปขับโมโตจีพีได้ก็ดีแต่ถ้าเขาไปแว้นแล้วสิบล้อเหยียบตายมันก็เสียดายจริงไหม เสียดายโอกาสของพ่อแม่เขาอีกแต่ถ้าเด็กทุกคนแม่งตื่นมาเตะบอล เพราะวันนี้นักฟุตบอลมันยืดอกได้แล้วครับมันสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศเลี้ยงดูครอบครัวก็ได้เพราะว่าอะไร เพราะมันเท่แล้ว
วันนี้ภาพจำคือต้องอยากให้เด็กอยากเป็นนักฟุตบอลเพื่อจะมาสร้างชื่อเสียง ต่อให้เป็นนักฟุตบอลไม่ได้ ถ้าคุณอยากชอบฟุตบอลคุณก็สามารถไหลเวียนอยู่ในวงการฟุตบอลได้ คุณจะเป็นโค้ชก็ได้นี่
คุณจะเป็นฟิตเนสเทรนเนอร์ เป็นนักโภชนาการ หรือมาวางแผนลีก หรือมาเป็นผู้บริหารลีกไทยเพื่ออะไร เพื่อจะให้ลีกไทยมันดำเนินก้าวหน้าเติบโตมากขึ้น
ถ้าคุณมี Passion เหล่านี้เราก็จะได้บุคลากรดีๆ มาในคนรุ่นหน้าอีกผมเลยคิดว่าหนึ่งสิ่งต่อไปที่ผมอยากทำ และขอบสนามอยากทำคือการสร้างโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ได้เป็นนักฟุตบอล สร้างให้สโมสรในประเทศไทย เราเหมือนเป็นตัวเชื่อมกันอะ เหมือนเราเข้าใจเด็ก เราเข้าใจสโมสรว่าเขาเองก็ต้องนักเตะ เหมือนการต้องการสร้างอะคาเดมี่เพื่อจะให้นักเตะมาทดแทนกันได้เสมอ แล้วเด็กทุกคนก็ลืมตาอ้าปากได้ วงการฟุตบอลก็เติบโตคนก็สนใจฟุตบอลไทยมากขึ้นเท่ากับวงการฟุตบอลไทยคนดูเยอะมากขึ้นคนมันก็แห่ไปดูมากขึ้น คนแห่ไปดูมากขึ้นค่าตั๋วก็มากขึ้น ผลมันก็ตกไปที่สโมสรทุกอย่างมันก็จะอยู่ที่บ้านเรานั่นแหละครับ
รู้สึกอย่างไรเมื่อมีคนบอกว่า “เบล ขอบสนาม ดังได้เพราะไป Copy content คนอื่นมา”
ถ้าให้ผมตอบคำถาม ว่าพี่เบลมองมุมไหนก็ลองคิดถึงวันนั้นผมเป็นเด็ก อายุ 23-24 อยู่ในห้องเล็กๆ มีไอเดีย ผมคงบินไปถ่ายคลิปฟุตบอลเองไม่ได้ ผมขอโทษด้วยผมไม่ได้มีปัญญาขนาดนั้น ผมมีแค่ไอเดียครับ แล้วเราก็คิดว่าสิ่งที่เขารวบรวมมาแล้ว ผมมาต่อยอดถ้าจะเรียกว่าก๊อป ก็ขอโทษด้วยเพราะผมไม่สนใจ ผมมุ่งมั่นในการทำงานเพราะถ้าผมไปมัวไปเถียงกับข้อครหาเหล่านั้น มัวไปหาคำตอบให้เขาเหล่านั้นให้พวกเขาเหล่านั้นพอใจกับคำตอบของผมผมคงไม่มีวันนี้เลย ผมแค่ว่าใครคิดอะไรคิดไปเลยแล้วผมก็ขอโทษด้วย ผมพูดทุกคลิป ขออภัยท่านมา ณ ที่นี้ด้วย หากดูแล้วชอบใจ ปุ่มไลค์ ปุ่มแชร์อยู่ใกล้ๆ กดให้หน่อยนะครับ ผมพูดทุกคลิป ถ้าหากมันมีคำหยาบ พูดอยู่ตลอด อาจมีคำหยาบ ที่ท่านฟังและระคายหู กระผมขอยกมือไหว้ ขออภัยท่านมา ณ ที่นี้ด้วยพูดทุกคลิป คือพูดมาตลอดอยู่แล้ว
เราเลยรู้สึกว่าวันนั้นผมไม่มีปัญญาไปถ่ายเองจริงๆ เลยครับแล้วก็รวบรวมใช้แนวคิดว่ามันรวบรวม ใช่มันมีอย่างนั้นแล้วแต่เราใส่ภาษาไทยให้คนไทยดูยังไงก็ติด แต่ผมไม่ได้ลอกภาษาใคร ผมเขียนขึ้นมาเองทุกคำ คำคล้องจอง ก็มันมาจากการอ่านหนังสือเป็นพันๆ เล่มที่ผมอ่านมา ผมไม่ได้ลอกสไตล์การพากย์ของใครเลย ถ้าจะมีไอดอลก็คือพี่โทนคุง ที่มันอาจจะเหมือนใน ซัดเต็มข้อ ล่อเต็มแข้งอันนี้เป็นเครดิตของพี่โทนนะครับ ไม่ใช่ผม แต่ผมต่อยอดเป็น ซัดเต็มข้อล่อเต็มแข้งบอลพุ่งแรงทแยงเสียบเสาอะไรแบบนี้ต่อไป
ผมบอกเลยว่า คำพูด สโลแกน คำต่างๆ ที่พูดไปมันเป็นสิ่งที่เราคิดขึ้นมาเองแต่ภาพฟุตบอลแน่นอน ผมไม่มีปัญญาบินไปถ่ายเองเราก็เลยต้องใช้ภาพเหล่านั้นมาแต่วันนึงที่ content มันน่าสนใจผมก็ได้เป็นพรีเซนเตอร์ ของคนที่ผมไปเอาภาพมา ซึ่งมันก็ตอบโจทย์ได้ว่าฝรั่งเขาก็มองแค่ว่าเราเอาของของเขาไปต่อยอดไป creative จนคนดูในประเทศนี้มันเยอะ งั้นจ้างเรามาเป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์เขาเลยละกัน บีอิน สปอร์ต ผมเคยบอกเขาไปว่าผมเคยเอาลิขสิทธิ์คุณมาทำเต็มไปหมดเลย ผมก็สารภาพกับเขาบินไปคุยกันที่อื่นเขาก็เข้าใจ แล้วเขาก็เลย เป็นพรีเซนเตอร์ไปเลยแล้วกัน ถ้ามันมีคนไม่ชอบผมเข้าใจได้ แล้วผมไม่เถียงด้วย ผมไม่รู้จะไปต่อล้อต่อเถียงกับคนที่ไม่ชอบเราทำไม ผมเลยไม่สนใจเรื่องดราม่า
ผมแค่ก้มหน้าก้มตาทำงานไปทุกวันแล้วก็ทำมา 5 ปีแล้ว ถ้าคนมันก๊อปจริงๆ ผมก็คงไม่มีลูกค้าเข้ามาสนับสนุนอยู่วันนี้ ไม่มีลูกน้อง 30 คนมาทำงาน ไม่มีทีมงานมาร่วมกันสร้างขอบสนามเติบโตขึ้นทุกวันแล้วก็ไม่มีคนดูมากขึ้นแบบนี้หรอกครับ
ไม่ได้มั่นใจตัวเอง แต่แบบถ้าถามคำถามนี้ ผมก็ต้องตอบแบบนี้
ดรามาหนักที่สุดในชีวิตเบล ขอบสนาม “พากย์บอลสโมสรไทย VS อินโดนีเซีย”
อันนั้นเป็นการสอนเราเป็นการที่เราต้องเข้าใจว่าโลกแห่งความจริงเป็นแแบบนี้ วันนั้นเราไปทำงานในฐานะเขาจ้างเราไปนั่นหมายความว่าเขามีสิทธิ์สั่งเราได้ว่าเขาอยากให้เท่าไหน ถ้าวันนั้นเขาบอกให้ผมพากย์ภาษาสำเนียงมอญผมก็อาจจะทำแบบนั้น ถ้าให้พากย์เหน่อก็อาจจะทำแบบนั้นเพราะเขาจ้างเราไป ผมเป็นคนตระหนักตรงนี้ เขาจ้างเราไปแล้วเขาก็พูดว่าconcept วันนี้คือการพากย์เข้าข้างประเทศตัวเองเอาสนุก สุดมันส์ ฮา เต็มที่เลยนะ เราเป็นพนักงานเราเป็นทีมที่ถูกไปทำงานเราได้รับคำตอบแบบนี้มา เราก็โอเคครับ เดี๋ยวจัดให้
วันนั้นก็จัดเต็มที่เลย แต่ข้อผิดพลาดเดียวคือผมไม่ได้ดูโทรศัพท์ในวันนั้น จริงๆ แล้วโทรศัพท์เป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 ของผมเลย คืออยู่ในมือผมตลอดเวลาผมทำงานไลฟ์สด ผมจะดูเพราะผมเป็นคนดูคอมเมนต์ ผมไม่ปล่อยคอมเมนต์ผมดูคอมเนต์ตลอดว่า พองานที่ผมปล่อยออกไป คนชอบ ไม่ชอบ อยากดูอะไร ไม่งั้นผมไม่รู้หรอกว่าคนดูอยากดูอะไรแต่วันนั้นผมไม่ได้ดูจนจบแมตต์และวันนั้นมันกระชันชิดมาก มันจบแมตช์ปุ๊ปผมต้องบินต่อไปเกาหลีใต้เลยทันทีคือบินจบจากเชียงรายไปโซลเลย เพื่อจะไปถ่ายโฆษณาต่อ
ผมถึงสนามบินเชียงรายปุ๊ปกำลังจะปัสสาวะเลย วางโทรศัพท์ มองนั่งดูนิวฟีดแล้วแบบ โอโหใช้คำว่าโอโหได้เป็นหมื่นรอบเราไม่เคยโดนแบบนี้เลยอะ เราไม่เคยโดนด่าแบบยับขนาดนี้ ทำอะไรไม่ถูกเลยไอจีนี่หนักสุด มีคนอินโดนีเซียเป็นหมื่นๆ คนเข้ามาในไอจีเรา แล้วก็ด่าอะไรไม่รู้ เป็นภาษาเขาเป็นร้อย เป็นพัน ทั้งคอมเมนต์ทุกรูปทั้งส่งอินบล็อคมาด่าและแย่สุดคือการคุกคามคนรอบข้างเราคนในรูปผมที่แท็กด้วยตามไปหมด ไม่ว่าจะเป็นดาราคนไหน ผมนั่งอยูในสนามบินผมแบบอึ้ง เราก็พากย์กันตั้งสามคน ทำไมเราโดนคนเดียว หรือคนอาจจะจำเราได้มากสุดมั้ง ผมรู้สึกเซ็งและเครียด แล้วก็แบบทำอะไรไม่ถูกอยู่สนามบินคนเดียว ปาดน้ำตาผมวางโทรศัพท์ที่โถปัสสาวะ ตั้งถ่าย 5 วิ ยกมือไหว้ถ่ายเสร็จปุ๊ป ก็ไปเข้า Google translate พิมพ์ภาษาไทยลงไปเพื่อจะ translate ภาษาอังกฤษ และภาษาก็ไม่เป๊ะอีกแต่ก็ต้องขอโทษและก็ขอโทษด้วยความจริงใจว่าผมทำงานเต็มที่ด้วยหน้าที่ของผม
ประเด็นเราไม่รู้ว่าแมตต์นี้ดูได้ทั้งโลก เราไม่รู้ว่าลิขสิทธิ์อยู่ที่ช่องนี้ หมายถึงคนอินโดนีเซียก็ต้องมาดูที่ช่องนี้ แล้วเขาเห็นเรากระโตกกระตาก ด้วยสไตล์การพากย์ น้ำเสียง ท่าทาง แอคชั่นของเราถ้ามันอยู่ในขอบสนาม คนรักแต่ว่านั่นไม่ใช่บ้านเรานี่ เรามาเล่นกระโชกโฮกฮากนอกบ้านก็เป็นสิ่งที่สอนผมว่าในบ้านกับนอกบ้านมันต่างกันนะ แล้วก็ทำอะไรก็แล้วแต่ดูคอมเมนต์ คุณอยู่ไลฟ์สด คุณต้องดูคอมเมต์เลยเกิดเหตุอะไรขึ้น สวนได้ทันที แก้ได้ทันทีอย่าปล่อยให้อะไรเป็นแบบนี้จนจบ เพราะเป็นแบบนี้จนจบผมเจ็บมาแล้วเจ็บแบบเป็นเดือนๆ ต้องปิดไอจี แล้วบอกเลยว่าไม่มีทางที่คุณจะไม่เห็นผมพากย์บอลอีกมาจ้างผมห้าล้านผมยังไม่ไปเลย ผมบอกเลยจะไม่มีทางเห็นผมไปพากย์บอลที่ทีวีอีกไม่ได้ว่าอะไรนะ เข็ดและก็รู้ว่ามันไม่ใช่ที่ของเรา
คิดว่าจริงไหมกับประโยคที่ว่า “กีฬากับการพนันเป็นของคู่กัน”
ถ้าพูดในมุมผม ก็ใช่ มันก็จริงๆ แต่ผมไม่ทำไง ก็เพราะว่าในกรอบกฎหมายบ้านเมืองเรามันผิดแค่นั้นเอง ผมไม่โจมตีใครด้วยเพราะทุกคนเป็นรุ่นพี่เป็นเพื่อน แม้จะมีคนมาด่าผมว่าเพราะทุกคนเป็นพี่ผม ผมก็เลยปล่อยให้ทุกคนทำร้ายสังคม ก็ทำยังไงได้ คุณเปลี่ยนโลกได้หรอก็ขึ้นสมัครไปเป็นนายกดิ ถ้ามั่นใจขนาดนั้นทำเลย เพราะว่าผมทำไม่ได้ไง ผมรู้แล้วผมอยู่ตรงนี้มาตั้ง 5 ปี ผมรู้หมดแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ผมรู้อยู่แล้วว่าผมต้องวางตัวแบบไหนจะดีที่สุดก็แค่ไม่ไปรับมัน ไม่ไปยุ่งกับมันไม่ออกตัว แต่ถามว่ามันผิดมั้ย ผมคิดว่ามันควรจะถูกกฎหมายนะ ลองคิดภาพสิ ผมไปสิงคโปร์มา ผมไปอังกฤษมา ผมเห็นว่าประเทศเขาโคตรเจริญเลย มันก็มีการกำกับได้ด้วยกฎหมายไงครับมันเป็นสิ่งที่อยู่คู่กัน ไม่งั้นสปอนเซอร์บนหน้าอกเสื้อฟุตบอลหลายทีมในพรีเมียร์ลีกจะเป็นเว็บพนันหรอฟุตบอลมันหนีกันไม่ออก อันนี้ในมุมผมนะ จะด่าผม ก็ขอโทษด้วยนะครับ
ถ้าบอกว่าไม่เป็นของคู่กัน ผมก็โกหกแล้วพี่มันเป็นของคู่กันเลยจริงๆ ครับ ไม่งั้นพรีเมียร์ลีกไม่รีบกลับมาเตะกันขนาดนี้ เพราะมันมีมูลค่าลิขสิทธิ์เอง และอะไรอีกมากมายที่มันเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับฟุตบอล ยังไงก็แล้วแต่เกี่ยวกับการพนันอยู่แล้วแต่ผมเอง ไม่เคยเอาขอบสนามไปออกตัวหรืออะไร แต่ถ้าผมว่าถ้าผมไปทางนั้นเอาง่ายๆ ถ้าผมพันล้านไปละ ผมมั่นใจเลย เบลพันล้านเลย มั่นใจ ถ้าไปทางนั้น ก็ถึงบอกว่าถ้าผมอยากจะอย่างนั้นจริงๆ แต่เรารู้สึกว่าแบบ เราชอบในการสร้างโอกาสให้คนด้วย เราก็เลยทำอย่างนี้ก็ได้ครับ
ทำไมถึงกล้าสร้าง “เพจ Pornhub thailand fanclub”
มันเป็นสิ่งสากลโลกมากๆ เลยแล้วพี่คิดเชื่อว่าเดี๋ยวอีกหน่อยก็จะเปลี่ยน ถ้าถามว่าทำไม ก็คือผมชอบ content ขอบสนามหลายอันก็ไปเกี่ยวข้องแล้วคนดูก็เยอะ นี่ไม่ได้พูดเล่น เรื่องแบบนี้ขายดีเสมอ เรารู้สึกแค่ว่าวันนี้เราดู pornhub ดูมาเยอะมาก ดูมานานแล้ว แล้วอยู่ดีๆ ทำไมคนทั้งประเทศมาดู แล้วเราเองก็รู้สึกว่าเราผจญโลกเหล่านี้มาก็พอสมควรรู้จักคนนั้นคนนี้ ถ้าเราทำให้ทุกคนสนใจในวงการลองรันวงการนี้ดูสิ มันก็ต้องมีคนสนใจ วงการนี้คนสนใจเพราะว่าอะไร pornhub ทุกวันนี้มันก็เหมือน youtube แล้วนะ มันสามารถทำเงินหลักแสนต่อเดือนได้นะ คุณไม่ต้องรู้จักด้วย มันมีอยู่จริงแล้วนะเดี๋ยวนี้หรือจะมีเปิดหน้าไปเลย ดังนั้นทำไมถึงมาทำก็เพราะผมรู้สึกว่าเดี๋ยวอีกหน่อยฮิต ผมรู้สึกเห็นภาพเสมอ
มั่นใจได้ยังไงว่าการสร้างเพจแนวนี้ขึ้นมาจะไม่ถูกโจมตีเรื่องของ “การไม่มีศีลธรรม”
วันนั้นผมเห็นว่า pornhub โดนค่ายบริการนึงโดนแบนโดนด่ายับเลยนะ เพราะว่าอะไรละ เมืองไทยเราปากว่าตาขยิบมากกว่ามือถือสาก ปากถือศีลมากกว่า คนที่ออกกฎหมายนี่ในมือถือคุณไม่มีคลิปโป๊หรอ ผมไม่เชื่อหรอก ไม่เชื่อเพียงแต่พอเรายึดถือกฎหมายหรือกรอบศีลธรรมที่เราคิดขึ้นมาว่ามันมี ถ้าเรื่องนี้ไม่ดีเราจะเกิดกันมาได้หรอครับ ผมรู้สึกว่าวันนึงถ้าหากว่าผมโดนผู้ใหญ่เรียกไปว่า ผมก็จะถามเลยว่าผมไม่ได้เคยไปบอกเลยว่าให้ทุกคนขายตัวนะ ผมไม่ได้บอกให้เป็นโสเภนี ไปขายประเวณีแต่คือการทำ content อยู่บ้าน ถ้าคุณมีแแฟน คุณก็ทำกับแฟนคุณที่บ้าน ผมไม่ได้บอกให้คุณนอกใจสามี-ภรรยากัน แค่ถ้าถ้าชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้วมันมีวิธีสร้างรายได้นะ มันมีวิธีทำให้คุณ popular ได้นะ ถ้าคุณชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ผมไม่ได้บังคับใครมา ถ้าวันนึงผมจะโดนผู้ใหญ่ไปเรียกแล้วแหละ ทีนี้ผมก็มีคำตอบที่ถามไว้หรือถ้าผมสังคมประนามก็น่าจะโดนไปแล้วเพราะผมก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ว่าเราไม่ได้เปิดตัวทำไมทุกคนชอบ ถ้าเปิดตัวแล้วโดนด่า แสดงว่ามันอยู่ที่บุคคลแล้วล่ะ แต่ผมรู้สึกว่าผมเองไม่เคยวางภาพว่าผมเป็นคนเรียบร้อย ผมไม่ใช่คนเรียบร้อย ผมเป็นคนปกติ
เรื่องที่เราสนใจแล้วเราไปจับมันก็เป็นเรื่องในงานของเรา แต่คนมันสนใจเยอะ ดังนั้นมันตอบโจทย์ไปแล้วว่าจริงๆ แล้วคนสนใจเรื่องพวกนี้เยอะ เพียงแต่ว่าเขาอาจจะไม่กล้าแสดงออก ยังไม่ใช่วันนี้แต่ผมแค่กำลังเชื่อว่าเดี๋ยวอีกสักแปปนึง
มันจะดังแน่ วันนึงการเลือกลายของดิลโด้อาจเป็นเรื่องปกติที่สาวๆ สามารถแชร์ร่วมกันให้เพื่อนเลือกได้ หนุ่มๆ อาจจะแชร์ถุงยางให้เพื่อนดู วันนี้ลายไหนดีอาจจะเป็นเรื่องปกติที่วันนี้เรายังไม่เข้าใจไง ถ้าเราเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น เพราะว่าเด็กๆ ยุคนี้ต้องเรียนรู้เจอไอแพดเร็วกว่าเรานะ เราแตะไอแพดครั้งแรกอายุเท่าไหร่กันหรอ เราเห็นทีวีครั้งแรกอายุเท่าไหร่กันหรอ แต่เด็กยุคนี้บางทียังไม่รู้ประสีประสาได้นั่งดูทีวีแล้วนะครับ ได้จับไอแพดแล้วครับ ไม่คิดบ้างหรอว่าเขาจะฉลาดกว่า ไม่คิดบ้างหรอว่าเขาจะเจอสิ่งที่เรียนเรื่องอย่างนี้ได้เร็วมาก ไม่คิดบ้างหรอเขาจะไปคุยในหมู่เพื่อนตอนที่เขาไม่ได้อยู่กับเราจะดีกว่ามั้ยถ้าเราเปิดกว้างคุยกับเรื่องนี้เพื่อที่จะหาทางป้องกัน เรียนรู้เพราะวันนี้มีสิ่งที่อินเทอร์เน็ตเข้ามาในชีวิตคนแล้วมันปิดกั้นไม่ได้ดังนั้นผมเลยมองว่า เราฉาบผมก็ฉาบด้วยความสวยงามนะ นั่นคือสิ่งที่คนสนใจ
อยากบอกอะไรกับคนที่มองว่าเบล ขอบสนาม คือไอดอลของพวกเขา
ถ้าสมมติว่ามองผมเป็นไอดอลนะครับ เอาเเต่ด้านด้านดีของผมไปครับ ซึ่งด้านดีของผมนะคือเรื่องการทำงาน เเละมุมมองการใช้ชีวิตมากกว่า ผมเป็นคนไม่ไปคิดร้ายอะไรต่อใครเลยเเล้วก็ไม่เครียด เครียดอยู่กับผมได้ครึ่งวันเท่านั้นเเหละ ผมเครียด ผมโมโหเนี่ยมันก็จะหายไปในเวลาอันรวดเร็ว เเล้วก็ให้โอกาสคนรอบตัวครับเเล้วก็รักคนอื่นใหม่มากๆ อันนี้ผมอยากให้ทุกคนเป็นเหมือนผม เพราะว่าถ้ายิ่งเรารักคนอื่นมันจะสร้างโอกาสให้คนอื่นๆ ขึ้นมาได้ อย่าเอาอะไรที่ตัวเองดีอย่างเดียว เเล้วก็ ม่ต้องพูดคำหยาบเหมือนผมก็ได้นะครับเพราะมันเป็นนิสัย เดังนั้นเนี่ย ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสียหมดพี่ไม่ได้เป็นคนที่ดี 100% นะครับ จำข้อดีของพี่ไปเป็นตัวอย่างนะครับเเล้วอะไรที่มันดูเเล้วรู้สึกมันดูไม่ดีสำหรับเรา อย่าเอาไปเป็นตัวอย่างเลยผมก็เป็นคนธรรมดาคนนึง ที่ทำงานหาเช้ากินค่ำ เลี้ยงครอบครัวเเล้วก็มีทีมงานที่ต้องดูเเลนะครับวันนี้ทีมงานของพี่มีเยอะมาก พี่ก็ทำงานตามหน้าที่ครับเเค่นั้นเอง
แล้วก้ฝากติดตามขอบสนาม content หลากหลาย เเล้วก็ติดตามตัวผมได้ที่ Facebook เบลล์ ขอบสนามนะครับ ผมก็จะมีงานไว้เเชร์ให้คุณดู ส่วนถ้าใครอยากติดตามโป๊กเกอร์นะครับนักกีฬาโป๊กเกอร์ วันนี้ที่เขาให้ผมเป็นโฆษกก็ติดตามได้ที่เพจเทน่าตัก แล้วก็Pornhub Thailand Fanclub ก็เด็ดๆ ทุกคนเเต่เราก็ไม่ได้เเนะนำด้านเสียไม่มีภาพโป๊นะครับเราเเค่นำเสนอในสิ่งสวยงานครับ
เป็นอย่างไรกันบ้างเรียกได้ว่าถามไปตอบได้หมดเลยสำหรับคุณเบลขอบสนาม สำหรับเรื่องต่างๆ ในชีวิต ทั้งการทำงาน ชีวิตส่วนตัว และก็เรื่องดราม่าที่เจอ ครบถ้วนมาก ส่วนครั้งหน้าจะเป็นใครก็คอยติดตามกันด้วยนะครับ
ติดตามข่าวสารจาก หมีสาระ
Facebook : www.facebook.com/mheesaradotcom/
Twitter : https://twitter.com/mheesara