
14 June 2020
บี้ เดอะสกา (บี้ กฤษณ์ บุญญะรัง) – กว่าจะเป็น Youtuber มันไม่ง่าย
บี้ กฤษณ์ บุญญะรัง กับการเปิดโอกาสให้พวกเราทีมงานหมีสาระในการสัมภาษณ์กับรายการใหม่ล่าสุดบน Workspace ที่จะมาถ่ายทอดความรู้สึกของเขาในการพาตัวเองก้าวสู่ Youtuber เบอร์ต้นๆของประเทศไทย เขาใช้เวลานานแค่ไหนที่มีทุกวันนี้
รู้จัก “บี้ เดอะสกา”
บี้ เดอะสกา หรือ กฤษณ์ บุญญะรัง เป็น Content Creator ครับผม เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท เดอะสกาฟิล์ม จำกัด อาชีพที่ผมทำ ณ ปัจจุบันคือ การสร้างสรรค์ Content เพื่อเสิร์ฟให้กับกลุ่มคนดูและตอบโจทย์แบรนด์สินค้า เราทำ Content ที่ตลก สนุก นอกจากที่คนดู มาดูเพื่อความสนุกสนานแล้วแบรนด์ต่างๆ ก็สามารถที่จะโปรโมทสินค้าหรือเราสามารถส่ง message นี้ให้กับกลุ่มคนดูลูกค้าสามารถขายของได้ด้วย
หลักการอะไรที่จะทำให้คนดูชอบ Content ของเรา
คำถามนี้ตอบยากมากเลย ผมจะบอกเลยว่า จริงๆแล้ว มันแล้วแต่ช่วงผมไม่สามารถบอกได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ พูดไปเดี๋ยวก็ว่าโม้ ว่าแบบเดี๋ยว Content มันจะดังปังเป็นหลายล้านวิวอะไรอย่างเนี้ยไม่ได้ ผมไม่สามารถบอกว่า เอ๊ะ Content แบบนี้คนจะชอบมากๆ หรืออะไรอย่างเนี้ย มันเกิดจากการเรียนรู้นะ ผมก็ทำมาหลายรูปแบบของ Content เหมือนกัน
เริ่มแรกก็อาจจะแค่ลิปซิง ล้อเลียนเพลงอะไรอย่างเนี้ยคนก็ชอบนะช่วงนั้นพอทำมาถึงช่วงนึง คนก็เปลี่ยนรูปแบบการชอบผมก็เปลี่ยนรูปแบบมาทำ เป็น Gag สั้นบ้างเป็นมุข ทำเป็นรายการคู่มือมนุษย์อย่างเนี้ย หรือบางทีก็มาทำเป็นงานทดลอง เป็นโรงงานนรก แลปนรกก็เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วก็มาเปลี่ยนมาเป็นทำเกี่ยวกับเรื่องอาหารในรายการ ทำเองกินเอง ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่า คนดูเขาชอบอะไรกันแน่แต่ผมรู้ว่า ทำคลิปนี้ไปแล้วมีคนดูต่อเนื่องนานๆ เพราะผมดูจากข้อมูลสถิติหลังบ้าน คนดูชอบ ผมก็อ่ะ คนกดไลก์เยอะ คนคอมเมนต์เยอะผมก็ลองมาดู เอ้ย มันเกิดจากอะไรเอ้ย คนน่าจะชอบจริงใช่มั้ย ก็ลองมาทำซ้ำ มาทำเป็น EP. หลายๆ EP. ต่อไป ก็โอเค ถ้าเรารู้สึกว่ามัน มันปังขึ้น อันนั้นแหล่ะใช่ แต่ถ้าอันไหนไม่เวิร์ค ผมก็ไม่ทำ
ผมจะเป็นคนชอบลอง ผมไม่รู้หรอกว่า Content มันจะปัง อ่ะ ถ้าสมมติมันไม่ปัง ผมก็ถอยไม่ทำต่อ อย่างเช่น กรณีศึกษาเลยคือผมทำคลิปนึงที่เป็น Rapper สั่งข้าว โปรเจกต์เนี้ย ผมมีในหัวมานานแล้วประมาณก่อนที่จะมีเรื่อง เขาเรียกว่าไร การรันวงการแร๊ฟ ช่วงนั้นมันเริ่มจะมีการรันวงการแร๊ฟ ผมก็เอ้ย อยากทำ Concept นี้ว่ะ น่าจะเจ๋งดี แต่ก็แบบพักไปนาน ผมว่าคนไม่ดูหรอก อะไรอย่างเนี้ย
จนวันนึงเรา brainstorm กันผ่านมาประมาณ 2 – 3 ปี มีอะไรในหัวที่เราคิดไว้ ลิสต์ไว้อยู่ แล้วยังไม่ได้ทำก็หยิบมาทำ วันนั้นหยิบมาทำแบบไวๆ เลย ก็เลย ลองทำดู ปรากฎว่าวิดีโอแรก คนชอบเยอะมากก็เลยต้องขยี้ต่อ ปรากฎว่าวิดีโอแต่ละวิดีโอ คนดูเยอะมาก 8 ล้าน 7 ล้าน ในแต่ละ EP. ก็เอ้อ มันทำให้เรารู้ว่า จริงๆ แล้วมันไม่ได้แบบว่า เป็นตัวการันตีหรอกว่าทำอันนี้ เราคิดว่ามันดังมาก คนดูมันจะดูเยอะหรืออันไหนเราคิดว่ามันไม่ปัง แต่สุดท้ายมันปัง
ถ้ามีกระแสอะไรมาต้องทำเลยหรือเปล่า
ผมมองว่าจำเป็นนะ คืออย่างนี้ ถ้าเรื่องกระแสเนี่ยถ้าเราไม่ทำเลย เหมือนปล่อยมันผ่านไปแล้วพอเราไปเห็นคนอื่นทำ เราจะไม่ค่อนอยากทำนะเอาจริงมันก็จะเหมือนแบบ เราทำช้า เหมือนเรา Copy เขาอ่ะไม่อยากทำทั้งทีแบบ ผมไม่ได้กะจะ Copy นะแต่แบบ Angle ในการล้อเลียนมันแอบไปในทางเดียวกันไงแต่ประเด็นคือผมทำช้า ผมก็เลยรู้สึกไม่อยากทำละ ไม่โอเค
ผมคุยกับทีมงานไว้ก่อนถ้ามากระแสอะไร เราก็ต้องรีบทำนะเว้ยถ้าไม่ทำ มันก็จะเกิดเหตุการณ์แบบซ้ำๆ แบบเดิม ทุกคนเข้าใจซึ่งกันและกัน พอมีอะไรมาเราก็ มาคิดกันเลย เรามีอะไรอยากทำมานั่คุยกันทุกคนนะฮะ ว่าอยากทำอะไร เราก็ brainstorm กัน ได้ไอเดียที่ดี เราก็ล้อเลียนแล้วก็ทำกัน
อย่างล่าสุดทำไป มันก็มีทั้ง “เจน นุ่น โบว์” “วิบวับ” “พักก่อน” แล้วก็ “มิลลิ” ทั้งนี้ทั้งนั้นมันเกิดจากงานที่แบบเนี้ยเราจะทำกันแบบสั้นมาก งานวันเดียวอ่ะครับ แต่คนดูเยอะ แต่งานแบบ หลักเดือน หรือหลักหลายเดือนหรือหลักสัปดาห์เนี่ย คนดูเฉลี่ยครับ
งานยากทำออกมาแล้วคนดูน้อย ทำไมยังคงทำต่อ
ผมมองว่าจริงๆ มัน มันไม่ได้มีบอกว่า คลิปนั้นคนดูมันจะน้อยหรอกแต่แค่มันไม่ได้แบบว่า จะพูดไงดีอ่ะไอพวกนั้นอ่ะ มันคือคลิปมาตรฐานที่เราอยากทำอยู่แล้วมันเหมือนเป็นซีรีส์ที่เราทำอยู่แล้วแต่ประเด็นคือ ไอคลิปที่มันมีคนดูเยอะเนี่ยพวกล้อเลียนเนี่ย ไม่ได้คิดว่ามันจะขนาดนั้นหรอกเราก็ทำตามปกติแหล่ะ เราก็คิดว่าคงมีคนดู แต่ประเด็นคือ บางทีมันดูเยอะ เยอะมาก เยอะโดด เราก็เอ่อ เป็นผลพลอยได้แล้วกัน ซึ่งเราจะล้อเลียนตลอดไม่ได้ เพราะช่องเราไม่ใช่ช่องล้อเลียนขนาดนั้นไม่งั้นเราก็ต้องรอแต่กระแสอย่างเดียวถูกไหม ไม่งั้นเราไม่มี Content จะที่มันจะลงบางทีมันไม่มี ช่วงนี้มันไม่มีกระแสสมติสัปดาห์นี้ไม่มีกระแส เราก็ไม่รู้จะล้อเลียนอะไรถูกไหม นั่นหมายความว่าสิ่งที่เราควรทำได้สิ่งที่เราควรเป็นปกติคือการคิด Content ใหม่แล้วเราก็ทำมัน แล้วเรามาดูว่าวิธีการทำ Content นั้นอ่ะให้มันแบบ success หรือ ประสบความสำเร็จ มันจะทำยังไงครับ
การจะเป็น Youtuber จำเป็นมั้ยที่ต้องแตกต่าง สามารถทำเหมือนคนอื่นได้ไหม ?
เป็นคำถามที่ตอบง่ายมากครับ ได้ครับ เราสามารถเป็นเหมือน Youtuber ทั่วไป เขาทำอะไร เราทำตาม มันได้ ถ้าเรามีคนรู้จักแล้ว แต่ถ้าเรายังไม่มีคนรู้จัก หรือเราเริ่มช่องใหม่ เราสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่เนี่ยเราจะไม่สามารถมาเป็น Youtuber ที่มีคนติดตามเยอะๆ ได้นะผมบอกก่อน
สิ่งที่สำคัญที่เราจะทำ มุดน้ำโผล่ขึ้นมาได้ เราจำเป็นต้องมี สิ่งที่เรียกว่า Character หรือสิ่งที่ทำให้คนจดจำเราได้ครับอาจจะเป็นที่ตัวตนเรา วิธีการพูดเรา วิธีการนำเสนอ หรือแม้กระทั่ง Content ของเรา มันมีความโดดเด่น หรือแตกต่างจาก Content ที่มีในตลาดทั่วไปอย่างไร
มันอาจจะตลกกว่า หรือมันอาจจะแบบมุกโห เดือดมาก ตลก ดูแล้วขำ หรือมันอาจจะแบบโปรดักชั่นการถ่ายทำภาพสวยมาก การตัดต่อ ทรานซิชั่น ทุกอย่าง perfect อะไรอย่างเนี้ย มันควรมีความที่แบบไม่เหมือนใคร แล้วให้คนจดจำได้ เห้ย ช่องนี้สวยมาก ชื่อช่องอะไรสักอย่างนึงอ่ะ อยากดูอะไรที่มันกินอร่อยๆ ต้องช่องนี้นะ อะไรอย่างเนี้ย คนมันต้อง remind อย่างนี้ถ้าสมมติคนไม่สามารถ remind มาหาช่องเราได้ ผมมองว่าคนก็นึก หาเราไม่เจอเหมือนกัน มันก็กลายเป็นช่องธรรมดาไป
ตัวตนของ Bie the ska คืออะไร
ตัวตนในคำจำกัดความของบี้ เดอะ สกา คือ ความสุขและรอยยิ้มครับตามสโลแกนที่ผมตั้งไว้คือ “รู้มั้ย เวลาเพื่อนๆ ยิ้ม พวกเราอ่ะ โคตรมีความสุขเลย” สิ่งที่ทุกคนได้เห็น Content เรา ได้เห็นจากตัวตนเราคือคุณจะได้รับมอบความสุขและรอยยิ้มออกไป คุณดูเสร็จ คุณมีรอยยิ้มครับ
Subscribers มีผลต่อช่อง Youtube อย่างไร
บางคนอาจจะมองว่า การมีซัพเยอะ มีวิวเยอะ มีคนดู ทุกอย่างมันเกี่ยวกันหมดนะ บางคนอาจจะบอกว่า เราทำเพื่อให้มีซัพเยอะรึเปล่าพูดก็ถูกครับ ใช่ครับ สองคือ เราพยายามให้มียอดวิวคนดูเยอะไหมก็ใช่ ถูกต้องครับ เราอยากให้มันมีสปอนเซอร์เยอะ ก็ใช่ ถูกต้องครับ ทุกอย่างมันเกี่ยวเนื่องกันหมดคนดูน้อย ซัพน้อย ถามว่ามี สปอนเซอร์ไหม มี แต่สปอนเซอร์จะมีอะไรเป็นเครื่องยันยืนว่าคนจะเห็น product เขา หรือ eyeball ได้จำนวนที่มากพอที่เขาต้องการ หรือกลุ่ม Target ที่มีมันตรงตามสิ่งที่ลูกค้าเขาต้องการ ทุกอย่างมันเกี่ยวเนื่องกันหมดการที่เรามีจำนวนคนดูเยอะ
โอเคมันก็ส่งผล reflect ถึงจำนวนรายได้คนติดตามเยอะมัน reflect ว่าเราได้รับความนิยมและมันส่งผลต่อค่าเฉลี่ยจำนวนคนดู เพราะมีคนติดตามเยอะๆ โอกาสที่มันมีการแจ้งเตือนโอกาสที่คนที่ติดตามเราแล้วจะได้เห็นคลิปมันก็สูงกว่า
การที่ไม่ได้กดติดตามอะไรเลยทุกอย่างมันเกี่ยวเนื่องกันหมดแต่สิ่งที่เราทำมันก็ตาม motto ของเราคือรู้ไหม เวลาเพื่อนๆ ยิ้ม พวกเราอ่ะโคตรมีความสุข ยิ่งคนที่มาดูจำนวนมากเท่าไหร่ ผมยิ่งเชื่อว่าเรายิ่งได้ส่มอบความสุขรอยยิ้มให้กับคนดูมากเท่านั้น เหมือนก่อนอาจจะเป็นแค่ช่องบี้ เดอะสกา ช่องเดียวแต่ปัจจุบันเราก็เพื่อขยายความสุขหรือ Content ออกไป ผมก็มีการ มีหลายๆ ช่องเกิดขึ้นมาในเครือ เดอะสกาฟิล์ม เพื่อถ่ายทอดความสุขส่งมอบความสุขให้กับคนดูให้ได้มากที่สุด เท่าที่เป็นไปได้ครับ
จัดการอย่างไร ระหว่างทีมงาน หรือพนักงานกับครีเอเตอร์
ผมมองว่าเป็นเรื่องที่สำคัญนะ ผมมองว่า มันต้องเริ่มย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นว่า ทำไมคนในการทำงานหรือหน้าที่การทำงานที่มีอยู่ปกติทำไมถึงมาเป็นครีเอเตอร์ได้มันเกิดจากการที่เรา brainstorm กัน
ทุกคนมาประชุมกันในวันนึงผมรู้สึกว่าการ brainstorm นั้นมันมีประโยชน์มาก เราต้องการหาไอเดียคลิป และมันมีประโยชน์มาก เพราะอะไรรู้มั้ย ผมเห็นแต่คน เสนอไอเดียมาเยอะมาก คนนี้ก็โอโหเจ๋ง ไปในทางนึง อันนี้ก็ไปทางนึงแต่ทุกอันเจ๋งหมดเลยณ ที่อยู่บนหน้ากระดาน มีคุณค่ามาก แต่มันไม่สามารถเอาทุกอย่างมาทำในคลิปได้ทั้งหมดมันเยอะ มันเยอะจริงๆ
แต่ผมแบบไม่อยากทิ้งอ่ะผมรู้สึกว่าแต่ละคนก็มีทางเยอะนี่หว่าโจทย์ก็คือ เอางี้ ทุกคนลองกลับบ้านไปลองไปคิดดูซิว่า เราอยากทำ Content อะไรวันถัดมา ก็ได้กลับมาว่าแต่ละคนเขามีไอเดียต่างกันบางคนกลุ่มบ้าง กลุ่ม 4 คนบ้าง 3 คนบ้าง คนเดียวบ้างอะไรอย่างเนี้ย ออกมาเป็นทั้งช่องอาหารเพลินพุง The snack แกล้งเพื่อน แฟชั่นบ้าง Epic Toy มาเป็น Epic Time
ณ ตอนนี้บ้าง ทุกคนมีไอเดียต่างหาก หลายๆ ช่อง ผมรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ดี นอกจากเค้าจะได้แบบช่วยเราในการส่งรอยยิ้มให้กับคนดูแล้ว มันยังขยายฐานแฟนกลุ่มของเดอะสกาออกไปอีกให้กว้างขึ้น แถมยังช่วยในการตอบโจทย์แบรนด์สินค้าด้วย เพราะว่าแต่ละช่องนี้ก็มีลักษณะกลุ่มคนดูเนี่ยแตกต่างกันออกไป คนดูชอบดูอาหารบางช่องนี่คนดูชอบดูแฟชั่นบ้าง คนดูชอบดูความตลกก็เปิดโอกาสสำหรับแบรนด์สินค้าที่จะมาลงโฆษณาด้วย เพราะกลุ่มคนดูมันหลากหลายรูปแบบหลากหลาย Target คำถามคือว่า แล้วเรา manage คนที่ทำงานกับครีเอเตอร์
ผมมองว่าโอเค งานหลักเขาคือการทำหน้าที่ของเขาในองค์กร แต่อีกส่วนนึงคือส่วนที่ทำให้เค้าได้สร้างสรรค์ในสิ่งที่เขาทำก็ต้องแบ่งเวลากันให้เหมาะสม ซึ่งเราซัพพอร์ตตรงนี้อยู่แล้ว เพราะว่าสุดท้ายเวลาที่เขาไปทำช่องของตัวเองเนี่ยเขาจะได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างขึ้น จากการวิเคราะห์ช่องตัวเอง จากการวิเคราะห์ Content แล้วทุกอย่างมัน reflect มาหาองค์กร ทำให้องค์กรได้เรียนรู้ปัญหาจากหลายๆ คน หลายๆ ช่องแล้วก็ทำให้พวกเราได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันแล้วก็โต
รายได้ของ The Ska Film มาจากทางไหนบ้าง ?
รายได้มาจากทางไหนบ้างรายได้ อ่ะเดี๋ยวผมจำแนกให้ฟังให้เห็นภาพของทุกคนเนอะคือปกติ Youtube เขาก็จะมีการสร้างรายได้ ให้ในทุกๆ เดือน จาก Add โฆษณาที่แสดงเวลาเราดู Youtube จะเห็นว่าจะมี Skip ads ที่ขึ้นมาก่อน 5 วินาทีหรือ non-skip ที่แบบว่าดูแล้วห้ามข้ามอะไรอย่างเนี้ย โฆษณาที่ขึ้นด้านข้าง โน่นนั่นนี่ Youtube ก็จะเอาเงินจ่ายให้เราทุกเดือนๆ ตามจำนวนโฆษณาที่ปรากฎ ไม่ใช่ว่าจำนวนยอดวิวนะ มันแอบคล้ายๆเพราะว่า ถ้าวิวเยอะอัตราการขึ้นโฆษณามันก็เยอะขึ้นถูกมั้ย ผมมองเรื่องของการเห็นโฆษณาแล้วกันยิ่งคนเห็นโฆษณาเราเยอะเราก็ยิ่งได้เงินจาก Youtube เยอะในรายเดือนอันนี้คือทางนึง
สอง branded content ก็คือเราทำ Content เพื่อตอบโจทย์แบรนด์สินค้า โปรโมทสินค้าต่างๆหรือการรีวิว หรือแม้กระทั่งการทำโฆษณาขึ้นมาและลงในช่องทางเรา เป็นอีกช่องทางนึงที่ได้เงิน
อีกช่องนึงก็คือ การสร้าง Product ของเราเอามาขายหรือ Merchandise เป็นอีกช่องทางนึงไม่ว่าจะทำเสื้อ อย่างที่ใส่อยู่นะครับเสื้อ หมวก ริสแบนด์ หรือแม่กระทั่งกระเป๋ารองเท้านะฮะ ตอนนี้ก็มีรองเท้า ผมทำรองเท้านักเรียนอยู่นะฮะ โปรโมทsหน่อย ฮ่าๆๆ ถือว่าขายได้ดีพอสมควร ก็เป็นอีกช่องทางนึงที่ไม่ควรปล่อยสำหรับคนที่เป็นครีเอเตอร์
นอกจากเรื่อง Merchandise ผมก็มองเป็นเรื่องของ Event นะฮะ Event ซึ่งปัจจุบันอาจจะยาก ไม่มี Event หายหมดเลย จากสถานการณ์นะฮะ หลักๆ ที่เป็นรายได้ ก็จะเป็นประมาณนี้ 4 ช่องทางครับ
อยากลาออกจากงานประจำเพื่อมาเป็น “Youtuber”
ผมเป็นคนนึงนะ ผมบอกก่อน ผมเป็นคนนึงที่ลาออกจากงานประจำและก็มาเป็น Youtuber พักก่อน ใจเย็นก่อน ผมอยากให้ลองทำอย่างนี้ไม่ใช่ไม่แนะนำนะ แต่ค่อยๆ คิดรู้ว่าเป็น Content creator หรือเป็น Youtuber มันทำรายได้ได้ดีแต่ต้องประสบความสำเร็จนะครับ เอางี้ดีกว่า
อย่าเพิ่งลาออกนะ ให้ลองทำดูก่อนในสิ่งที่เราคิดว่าเราชอบและดูฟีดแบค แล้วก็ทำไปทำดูฟีดแบคพัฒนาให้ช่องมันโตจนมันสร้างรายได้ได้ ดูซิว่าเงินที่มันรีเทิร์นกลับมา มันตอบโจทย์รึเปล่า สมมติเงินเดือนเท่านี้ Youtube คุณได้เงินเดือนเท่านี้หรือเท่านี้ ถ้ามันเริ่มมาอย่างเนี้ยมีความเป็นไปได้ และเราจะเห็นว่าเราน่าจะออกแล้วแหล่ะ ค่อยออกนะ แต่ถ้ารู้สึกว่า ทำไปไม่เวิร์คเลยว่ะ ใจเย็น ลองหาอย่างอื่น เราอาจจะถนัดอย่างอื่น ให้ลองหลายๆ ทางงานอาจะไม่ใช่แค่ Youtuber หรอก
ผมมองว่าในออนไลน์เราอาจะลองหลายๆ อย่างนะฮะ ลองศึกษา ผมบอกไม่ได้หรอกว่าคุณเหมาะกับการเป็น Youtuber แต่บางคนอาจจะเหมาะมากแต่บางคนอาจจะชอบโซน instagram รึเปล่าหรือ Tiktok รึเปล่าผมว่าในอนาคตน่าจะ generate รายได้ได้ดีเหมือนกันลองดูหลายๆ ทางอย่างตัวผมเอง
ผมทำ Youtube มาเกือบ 5 ปีตั้งแต่เริ่มทำผมเริ่มตั้งแต่มหาวิทยาลัยนะครับ เรียนจบ แล้วผมก็ไปทำงานประจำเป็นโปรแกรมเมอร์ ทำอยู่ปีนึง Youtube ผมก็ยังคงทำอยู่ พอผมทำงานไปครบปีนึงผมรู้สึกว่า เอ้ย เงินมันเริ่มมาเห้ย มีงานให้ผมไปแคสเยอะ ผมแบบโห เงินเริ่มมาเว้ย ก็เลยตัดสินใจออกและก็มาทำอย่างเต็มตัวเลย ผมทำไปอยู่ 6 เดือนครับ เจ๊งครับ ไม่ใช่ว่า มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดนะ
ผมบอกเป็นอุทาหรณ์ก่อนแต่คุณต้องมีช่วงที่ผ่านมันให้ได้ ผมเชื่ออยู่ตลอดว่าถ้าทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แล้วก็ทำมันอย่างเต็มที่ แม่งรวยแน่นอน ประสบความสำเร็จในชีวิตผมฟังมาเยอะ ผมก็เลยออกมาอย่างนั้นแหล่ะทำไป 6 เดือนไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลยครับ ยอดวิวก็แบบน้อยกว่าเดิมยอดซัพก็ไม่โตเลย ตอนนั้นซัพอยู่ประมาณ 8 หมื่น แต่ 6 เดือน เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างมีความคิดเข้ามาในหัวเห้ย
เอาไงวะ ยังคงต่อไปป่าวะหรือต้องกลับไปเป็นโปรเกรมเมอร์เหมือนเดิมอะไรเนี้ย สู้กับความคิดนั้นมานาน จนมีคนส่งคลิปมาให้เราล้อเลียนผมก็ล้อเลียนเพลงนั้นปรากฎว่า เพลงนั้นดังมากแล้วผมก็ได้ออกรายการหลายรายการสัมภาษณ์แล้วก็มี Event ด้วย ก็เลยเอ้ย โอโหมันเริ่มปังแล้ว กลับมาได้เริ่มมีเงิน เอ่อ คลิปนั้นผมล้อเลียน กังนัม สไตล์ พลิกชีวิตก็เลยกลับมาจริงจังกลับมันอีกรอบนึง มาค่อยๆ คิดวิเคราะห์ ก็กลับมาได้
ผมจะบอกว่ากว่าผมจะตัดสินได้เนี่ยใช้เวลากว่า 6 เดือนนะ ทุกคนมันไม่ได้มีรายได้เข้ามาทุกคน ผมใช้เงินเก็บนะฮะ ต้องระมัดระวังนิดนึงนะฮะ ต้องชัวร์นิดนึง
ถ้าตอนนั้นไม่มีจุดเปลี่ยน จะกลับมาทำงานประจำไหม ?
กลับครับ ผมกลับครับ เพราะว่าผมเชื่อว่าผมก็ยังมีสกิลที่ติดตัวอยู่ ผมก็เรียนมาตั้งเยอะ ผมยังทำเงินเอาไปคืนค่าใช้จ่ายในการเรียนยังไม่ได้เลยอ่ะ ผมเรียนมาก็ใช้เงินหลายแสนอ่ะแต่แบบทำงานยังไม่ได้เงินคืนเลยอ่ะ ก็รู้สึกว่าโอเค กลับไปทำงานก็คงดีครับอารมณ์ประมาณนั้น
มุมมองตอนนี้คิดว่าอาชีพ “Youtuber” มั่นคงหรือไม่ ?
Youtuber มั่นคงมั้ย ผมเคยคิดว่ามันไปไกลว่ะ แต่ประเด็นมันคืองี้ มันไม่มั่นคงเพราะโรคเกิดมาทำให้ผมคิดเยอะเหมือนกัน พอมันมีสถานการณ์โควิด สิ่งที่เกิดคืออะไรรู้มั้ย คนอยู่บ้านจริงเว้ยผู้ลงโฆษณาไม่ค่อยลงโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Youtube, Facebook ไม่ใช่ไม่ลง ลงน้อยลงทำให้รายได้ที่เราได้จาก Add ที่แสดงก็น้อยลง
ทั้งทีคนดูเราเยอะขึ้นนะคนอยู่บ้านดู Content เราเยอะขึ้นแต่มันไม่ได้แบบ กราฟมันไม่ได้ไปด้วยกันกับรายได้ เห้ย มันมั่นคงจริงป่าววะ ก็คิดเยอะแต่สิ่งที่ผมคิดคือ เราต้องเตรียมให้พร้อมไม่ว่า สมมติวันนี้ Youtube พัง เราจะไปยังไงได้เราต้องมีแผนสำรองแพลตฟอร์มอื่น หรือว่า หลายๆ แพลตฟอร์ม ก็ต้องเตรียมตัวไว้ถามว่ามั่นคงไหม ผมว่าไม่มีอะไรมั่นคง
Hi5 ยังงตายได้เลย สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ มองหารายได้จากกลายๆ ทางและอย่ามองเรื่องแค่คอนเทนต์ มันจะทำให้เราได้เงินไปตลอดขนาดนั้น
จุดเริ่มต้นของ “The Ska Film”
การเริ่มต้นของ เดอะสกาฟิล์มมันหลังจากที่ว่า เราเริ่มเก็บเงินละอยากมีบริษัทของตัวเองผมมีไอดอลเป็น บิล เกตส์ เขาเป็นเจ้าของธุรกิจไมโครซอฟ ผมก็อยากมีองค์กรแบบนั้นเป็นของตัวเองเหมือนกัน
ผมเลยเรียนวิศวะคอมฯ นะฮะ เพื่ออยากมีบริษัทซอฟแวร์เฮาส์เป็นของตัวเองสิ่งที่เกิดพอเรามาทำ Content เราก็ไม่ได้แบบว่าไปทำในสายโปรแกรมเมอร์ โอเคอะไรที่มันให้เราเป็นเจ้าของบริษัทเอง
เราก็ตั้งบริษัทเลย บริษัททำ Content นี่แหล่ะ ก็คือ เดอะสกาฟิล์ม ขึ้นมา ตอนนั้นเริ่มสตูที่แรก มันเป็นเหมือนบ้าน อยู่จตุจักร เป็นบ้านทาวน์โฮมอันนึง ก็เริ่มกัน 3 คน ถ่ายกับตัดต่อคนเดียวกัน แล้วก็มีครีเอทีฟนะฮะแล้วก็ตัวเรา ช่วยกัน ประมาณว่าไปขายงานก็ไปขายด้วยกันทั้งหมดเนี่ยทำไรก็ทำกันหมดอย่านี้ จนเราค่อยๆ เติมกราฟฟิกเข้ามาเติมบัญชีเข้ามา เติมนั้น คนนี้เข้ามาจนผ่านไปประมาณ 2 ปีมั้งฮะเรารู้สึกว่าคนมันเริ่มเยอะขึ้น น่าจะประมาณ 10 กว่าคนละ ต้องขยายใหญ่ขึ้นละ
ต้องมีพื้นที่ที่มากขึ้น หาที่ใหม่ ก็เลยมาได้ที่ สุทธิสาร เป็นสตูดิโอเก่า เจ้าของเป็นช่างถ่ายรูปเขาทำเป็นสตูดิโอถ่ายรูปและเรารู้สึกว่ามาเห็นครั้งแรกแล้วแบบโอโห นี่ใช่เลยลักษณะตึกมันเป็นตัว “S” พรีเซนต์เรามากเลยเว้ย ก็เลยตัดสินใจมามาดูวันนั้นเอาเลย
พร้อมกับมีช่องในเครือเดอะสกาเกิดขึ้น หลายๆ ช่อง ไม่ว่าจะเป็น The snack, Epic time, เพลินพุง, อยู่ไม่นิ่ง, No problem, ช่องสัตว์เอ๋ย, The ska room, BTS และรวมไปถึง The ska X BNK ที่เรามีการทำโปรเจคร่วมกันกับทาง BNK เนอะท ช่องขึ้นมาใหม่ มันเกิดอะไร หลายๆ อย่างขึ้นที่นี่นะฮะก็เป็นพื้นที่แห่งความทรงจำ
ถ้าวันนึงคนดูคลิปน้อยลง จะยังคงทำคลิปต่อไปไหม
ถ้าลดลง ผมก็หาทางว่าจะทำยังไงให้มันมีคนดูเยอะขึ้นเนอะ มีสปอนเซอร์มากขึ้นแต่ถ้าดูจนไม่มีใครแล้ว ผมมองว่าน่าจะผิดพลาดที่อะไรซักอย่าง ผิดพลาดที่ตัวผมละ ผิดพลาดที่แพลตฟอร์มละผิดพลาดที่ Content หรืออะไรบางอย่างคือก่อนที่จะไปถึงจุดนั้นเราจะมีการวิเคราะห์ก่อนเนอะ
แต่ถ้าวิเคราะห์แล้วแม่งคนไม่ดู ไม่ดูจริงๆ ไม่มีคงต้องไปทำอย่างอื่นแล้วล่ะ ผมว่าก็ต้องทำอย่างอื่นถ้าสิ่งที่ผมชอบถนัดก็คงเป็นการเขียนโปรแกรมอาจจะไปทำเป็น Start up เพื่อแก้ปัญหาชีวิตมนุษย์หรือไป invest อะไรบางอย่างในการสนองความต้องการของผม
แต่ความฝันของผม อยากทำโรงเรียนเพื่อสร้าง Content creator รุ่นใหม่อันนี้คือใจของผมอยู่แล้ว อยากถ่ายทอดสิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้ตลอดระยะเวลาการทำ Content ออกมาเนี่ยออกไปให้กับคนรุ่นใหม่ ให้เรียนรู้จากกันว่า เออกูทำอย่างนี้แหล่ะเลยไม่มีคนดูไง คนดูกูเหลือศูนย์ไง ก็ต้องแชร์ความผิดพลาดอารมณ์ประมาณนั้นฮะ ผมว่าน่าจะเป็นประโยชน์นะ สำหรับคนรุ่นใหม่ เอออย่าทำอย่างนี้เนี่ยเดี๋ยวคนดูไม่มี
เป้าหมายสูงสุดของ “The Ska Film” คืออะไร ?
เป้าหมายสูงสุดของ เดอะสกาฟิล์มก็สูงสุดจริงๆนะ ผมอยากมีคนดูที่เยอะมากๆสูงสุดเลย เอาอย่างนี้กว้างๆ แต่การจะไปสู่คนดูเยอะมากๆผมอยากสร้าง Content creator รุ่นใหม่เพื่อมาตอบโจทย์ตรงนี้ความหมายของผมที่อยากมีคนดูเยอะๆ ก็เพราะอยากสร้างรอยยิ้ม สร้างเสียงหัวเราะให้คนได้เยอะที่สุด เท่าที่เป็นไปได้คือเป้าหมายนึงสูงสุดของเดอะสกาฟิล์มจริงๆผมคงมีหนังสักเรื่องเข้า Netflix ครับ
ฝากผลงานของบี้เดอะสกา
ฝากแฟนๆ ที่ติดตามด้วยนะครับผมผมก็เป็นช่องเล็กๆ เครือเล็กๆ เดอะสกาฟิล์มเรามีจุดประสงค์เดียวนะฮะอยากที่จะสร้างรอยยิ้มให้กับคนดูให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้นะฮะเราก็พยายามที่จะสร้าง Creator รุ่นใหม่หลายๆ ช่องออกมา เพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ แต่ละช่องเนี่ยก็จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันฝากไปติดตามของแต่ละช่องนะ เพจ Bie the ska ก็จะได้เห็น Content ทุกวันนะ Content มีทุกวัน ทั้งมุกเป็นรูปบ้างเป็น Gag สั้นบ้าง เป็นวิดีโอ นะฮะ ฝากด้วย รวมไปถึง Tiktok ของเราตอนนี้ก็ปล่อยทุกวัน วันละ 2 วิดีโอ
เต็มอิ่มกับการสัมภาษณ์ บี้ เดอะสกา ที่ทำให้ได้เห็นหลายมุมมองของบี้ ผู้สร้างรอยยิ้มให้ผู้คนมากมาย ที่ไม่รู้ว่าปลายทางของเส้นทางสายอาชีพของเขาจะเป็นอย่างไร แต่วันนี้ถือว่าก้าวผ่านเป้าหมายได้แล้วไม่น้อยกับมอตโต้ที่บี้ฝากไว้คือ รู้มั้ย เวลาเพื่อนๆ ยิ้ม พวกเราอ่ะ โคตรมีความสุขเลย
ติดตามข่าวสารจาก หมีสาระ
Facebook : www.facebook.com/mheesaradotcom/
Twitter : https://twitter.com/mheesara
บทความที่เกี่ยวข้อง

หนึ่ง นะครับ (ศักดา ถือมั่น) – คนขับรถส่งอาหาร
02 November 2020

ดาร์ท (ธนทร ศิริรักษ์) – นักพากย์เสียงโฆษณา
12 October 2020

ไอติม (พริษฐ์ วัชรสินธุ) – แนวคิดยกเลิกระบบเกณฑ์ทหาร
17 September 2020