หยก รัตนวลี กิดาการ – ทำอย่างไรให้ได้เป็นแอร์สายการบินต่างประเทศ

คุณหยก รัตนวลี กิดาการ แอร์โฮสเตสสายการบินต่างประเทศพร้อมเปิดทุกเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานเป็นแอร์โฮสเตสบนเครื่องบิน ตั้งแต่เริ่มสอบจนถึงการทำงานในปัจจุบัน และยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคต่างๆ ในการสอบเป็นแอร์โฮสเตส

รู้จัก “คุณหยก” แอร์โฮสเตส

หยก รัตนวลี กิดาการ อายุ 30 ปี ประกอบอาชีพแอร์โฮสเตสสายการบิน 5 ดาว ทำงานมา 3 ปีแล้วค่ะ

กว่าจะมาเป็นแอร์โฮสเตสต้องใช้เวลานานแค่ไหน

ประมาณ 2 ปีค่ะ ที่หยกไล่สอบแต่ละสนาม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย หยกไปมาหมดแล้ว หยกจะชอบสมัครสายต่างประเทศอย่างเดียวเลยเพราะว่ามีรูทบินเยอะและได้เที่ยวเยอะด้วยค่ะ

แอร์โฮสเตสต้องเรียนอะไรบ้าง

หลายๆ คนถามหยกเข้ามาเยอะมากว่าเป็นแอร์ต้องจบคณะอะไร ต้องเรียนเอกอังกฤษ ฝรั่ง ญี่ปุ่น หรือเปล่า หยกบอกเลยว่าไม่จำเป็นค่ะ เพราะว่าเพื่อนหยกเป็นหมอรักษาคน หมอรักษาสัตว์ พยาบาล เรียนนิติศาสตร์ เป็นทนายความ แต่ทุกคนก็มาเป็นแอร์หมดเลยเพราะว่าทุกคนมีความฝันเหมือนกันไม่ว่าจะจบคณะอะไร หรือสาขาอะไรก็สามารถมาเป็นแอร์โฮสเตสได้ค่ะ

เทคนิคสอบสัมภาษณ์การเป็นแอร์โฮสเตส

อย่างแรกเลยต้องเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองก่อน เพราะว่าถ้าเราไม่มั่นใจในตัวเองแล้วเราจะทำให้กรรมการมั่นใจได้อย่างไรว่า เราจะสามารถเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินของเขาได้ หรือเราสามารถดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสารบนเครื่องบินได้ ถึงแม้ว่าจริงๆ เราจะตื่นเต้นมาก

ลำดับต่อมาคือการมีอัธยาศัยดี เฟรนลี่ยิ้มง่าย เข้ากับคนง่าย นี่ก็เป็นส่วนสำคัญมากๆ เพราะเมื่อเราไปทำงาน เราจะเจอเพื่อนร่วมงานไม่ซ้ำหน้ากันเลยในแต่ละวัน กัปตัน หัวหน้า เพื่อนร่วมงานและผู้โดยสาร ทุกวันใหม่หมดลำดับต่อมาคือเรื่องของบุคลิกภาพต้องดีด้วย นั่งหลังตรง ไม่ห่อไหล่ เวลาเขามองมาดูสง่า ดูดี น่ารับไปทำงานด้วยและข้อสำคัญเลยคือ “ต้องมีใจรักงานบริการด้วย” เพราะว่านอกจากเราจะดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสารบนเครื่องบินแล้ว เราก็ต้องบริการผู้โดยสารบนเครื่องบินให้มีความสุขด้วย

ในส่วนนี้เป็นหน้าที่หลักของแอร์โฮสเตสเลย และสิ่งสำคัญมากๆ ก็คือการใช้ภาษาอังกฤษเพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางที่ทุกคนใช้กัน ยกตัวอย่างสายการบินที่หยกทำอยู่ ทุกวันพูดภาษาอังกฤษหมดเลย ไม่ว่าจะทั้งกับเพื่อนร่วมงานเวลาเขาบรีฟกับกัปตัน เมื่อเขาพูดมาก็ต้องเข้าใจว่าเขาพูดอะไร และผู้โดยสารส่วนมากไม่ได้เป็นคนไทยดังนั้นเราก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษค่ะ

คุณสมบัติของแอร์โฮสเตสต้องมีอะไรบ้าง

ข้อแรกเลยคือเรื่องของความสูง บางสายการบินจะบอกเลยว่าต้องมีความสูง 160 เซนติเมตรขึ้นไป แต่สายการบินหยกไม่ได้มีการกำหนดเรื่องส่วนสูง แต่ต้องเอื้อมแตะ โดยการถอดรองเท้าส้นสูงออกแล้วก็ยืนเอื้อมขึ้นไปให้ได้ 212 เซนติเมตรหรือ 215 เซนติเมตร ด่านต่อไปเป็นด่านชั่งน้ำหนักซึ่งสายการบินในไทยจะชอบมาก คืออย่างเช่นหยกสูง 167 เซนติเมตรเขาจะมีเกณฑ์เลยว่าต้องหนัก 48 กิโลกรัมถึง 53 กิโลกรัม เพราะฉะนั้นแล้วเรื่องน้ำหนักสำคัญมาก ซึ่งแต่ละสายการบินเขามีเกณฑ์น้ำหนักไม่เท่ากันและเปลี่ยนทุกปี

แต่ข้อดีของสายการบินที่หยกทำอยู่คือถ้าเราน้ำหนักเพิ่มขึ้น เราสามารถไปแก้ยูนิฟอร์มได้ ไปขยายยูนิฟอร์มออกได้ หรือถ้าผอมลง ก็ไปแก้เข้ารูปได้ ขอแค่ดูแล้วสมส่วนก็พอ ส่วนเรื่องภาษา สายการบินในไทยจะต้องมีคะแนน TOEIC 600 ถึง 800 คะแนนในการยื่นสมัคร ถ้าเราไม่มีคะแนน TOEIC ก็ไม่สามารถสมัครได้ ข้อแนะนำคือ ควรจะทำคะแนนให้ได้มากกว่าเกณฑ์ที่เขากำหนด

ส่วนสายการบินต่างประเทศ การ์ต้า เอทิฮัด เอมิเรตส์ 3 สายนี้ไม่จำเป็นต้องใช้คะแนน TOEIC เลย เพราะว่าเขามีข้อสอบของเขาเอง และต้องสอบผ่านตามเกณฑ์ที่เขากำหนดมา ส่วนภาษาที่ 3 ถ้าพูดภาษาจีนได้ ญี่ปุ่นได้ มันจะช่วยในการทำงานในสายต่างประเทศไหม ต้องบอกเลยว่าสายการบินต่างประเทศส่วนมากเขาไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไหร่กับภาษาที่ 3 เพราะว่าเราใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารอยู่แล้วทุกไฟลต์ แต่ภาษาที่ 3 จะช่วยเราเวลาเราทำไฟลต์จีนหรือไฟลต์ญี่ปุ่น ถ้าเราพูดได้เราก็จะเสิร์ฟได้เร็วกว่าเพื่อน เสิร์ฟเสร็จเร็วกว่าเพื่อน มาช่วยเพื่อนได้หรือเวลาผู้โดยสารเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราก็เป็นคนช่วยเขาได้ อันนั้นคือข้อดี

ส่วนถ้าเป็นสายในการบินในไทย ถือว่าดีมากๆ ที่พูดภาษาที่ 3 ได้ เพราะว่าเวลาเราสอบด่านปกติที่พูดภาษาอังกฤษเฉยๆ ใช้คะแนน TOEIC คนสอบเยอะมาก 3,000 กว่าคน แต่ถ้าเราสอบภาษาจีน หรือภาษาญี่ปุ่นสอบไม่ถึงพันคน เพราะฉะนั้นโอกาสที่เราจะได้งานมันง่ายกว่าคนอื่นค่ะ

เป็นแอร์โฮสเตสจำเป็นต้องสวยไหม

เรียกว่าเป็นหนึ่งในองค์ประกอบ เพราะเขาไม่ได้ดูแค่รูปร่างหน้าตาดี เพราะความสวยสำหรับหยกมองว่าคือการมีทัศนคติที่ดีมากกว่า เพราะว่างานแอร์โฮสเตสบางทีต้องไปบินไฟรต์ตอน 7 โมงเช้า ตี 3 รถมารับแล้ว ปกติแล้วตี 2 ตี 3 มันเป็นเวลานอนของเราใช่ไหมคะ

การที่มีทัศนคติที่ดีก็คือให้มองว่ามันดีนะ เราไปทำงานในช่วงเวลาที่รถไม่ติดด้วย ถ้าเรามีทัศนคติที่แย่เราก็จะมองว่าทำไมฉันต้องไปทำงานเวลานี้ เพราะเวลานี้ฉันต้องนอน เพราะฉะนั้นการมีทัศนคติที่ดีมันสำคัญมากเลยค่ะกับงานอาชีพแอร์โฮสเตส

ทำไมคนที่เป็นแอร์โฮสเตสต้องสูง

เพราะว่าอุปกรณ์ฉุกเฉินบนเครื่องบินอยู่บนที่สูง อยู่ระดับเดียวกับที่เก็บกระเป๋าเลย และแอร์โฮสเตสหน้าที่คือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินบนเครื่องบิน ต้องสามารถนำอุปกรณ์นั้นมาใช้ได้ทันท่วงที ถ้าเรามีความสูงไม่ถึงเราก็จะไปเขย่งๆ อย่างนี้มันอาจไม่ทันเวลา เพราะเราเป็นคนที่ดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสาร แต่ว่าหลายๆ คนอาจจะสังเกตว่าทำไมสายการบินญี่ปุ่น แอร์โฮสเตสเขาตัวเล็กจังจะสามารถหยิบกระเป๋าผู้โดยสารได้อย่างไร สายการบินญี่ปุ่นจะอนุญาตให้ใส่รองเท้าที่มีส้นหนาขึ้นมาหน่อยและเขาก็จะเอื้อมถึงนั่นเอง เรียกได้ว่าก็แล้วแต่สายการบินเลยค่ะ

แนะนำวิธีทำข้อสอบ TOEIC ให้ได้คะแนนดี

เริ่มแรกเลยคือลองเริ่มฝึกด้วยตัวเองก่อน ถ้ายังไม่ได้ก็ให้ลองดูใน Youtube หรือว่าดูในเพจต่างๆ หรือลองด้วยตัวเองแล้วรู้สึกว่าทำไม่ได้ ให้ลองหาเพื่อน พี่ หรือว่าคุณครูมาช่วยติว เพราะว่าตอนแรกหยกไม่อยากแนะนำให้ทุกคนเสียตังค์ไปเรียนเลย เพราะว่าเราอาจจะมีของดีอยู่ก็ได้แต่เราไม่รู้ตัว ลองออกไปหาคุณครูให้เขามาช่วยเน้นในส่วนที่เราไม่ได้ และสิ่งสำคัญในการที่เราทำคะแนน TOEIC ก็คือเราต้องฝึกทำข้อสอบเยอะๆ เน้นทำบ่อยๆ จะทำให้เราชินกับข้อสอบที่สำคัญอย่าลืมจับเวลา เพราะว่า การสอบ TOEIC คนส่วนใหญ่จะบอกว่าไม่ได้ยากแต่ว่าทำไม่ทันค่ะ

แอร์โฮสเตสต้องผ่านการคัดเลือกหรือทดสอบอะไรบ้าง

สำหรับสายการบินที่หยกทำอยู่ ด่านแรกเลยก็คือ “ด่านพรีสกรีนหรือด่าน 3 วิ” ที่เขาพูดกัน ก็คือจะยืนต่อคิวกันอยู่หน้าห้อง พอเปิดประตูเข้าไปจะมีกรรมการ 3 ท่านหรือ 5 ท่านแล้วแต่รอบ เราก็จะถือ Resume ไปยื่นประวัติและแนะนำตัว จากนั้นจะมี Conversation เพื่อทดสอบสกิลเรา แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงเรียกว่า 3 วิ ก็เพราะว่ามีคนสอบ 5 พันกว่าคน คงให้คุยนานกว่านั้นก็คงไม่ได้ และถ้าเราผ่านเขาก็จะให้ Secret paper มา เป็นกระดาษเล็กๆ ในกระดาษจะเขียนว่าพรุ่งนี้มาสอบด่านต่อไปให้มากี่โมง ด่านต่อไปก็คือด่านข้อสอบภาษาอังกฤษ

ซึ่งตอนนั้นหยกที่หยกสอบจะเป็นทำข้อกา 20 ข้อและก็มีการเขียนเรียงความ 1 บทความ ถ้าผ่านข้อสอบภาษาอังกฤษก็จะเป็นด่านต่อไปก็คือด่าน Chit-Chat คือเป็นการจับคำขึ้นมาจะเป็นคำอะไรก็ได้ที่เขาเขียนไว้ จะเป็นคำภาษาอังกฤษอย่างเช่น ถ้าคุณจับได้คำว่า “Horse” คุณจะพูดว่าอะไร หยกตอบไม่ได้เพราะหยกไม่รู้ว่าหยกจะจับคำได้คำว่าอะไร หยกก็เลยเล่าเรื่องตัวเองไปว่า “คุณรู้มั้ย ฉันเคยหนัก 100 กิโลกรัมนะ แล้วฉันลดน้ำหนัก

มาวันนี้เพื่อมาสมัครสายการบินคุณ” ก็กลายเป็นว่าเราคุยกับเขาอยู่นานเลยเรื่องลดน้ำหนัก เอาจริงๆ หยกคิดว่าเขาไม่ดูคำตอบเท่าไหร่หรอกค่ะ เขาดูท่าทางหน้าตาเรามากกว่า ถ้าผ่านก็จะไปด่านต่อไปเรียกว่าด่าน Group discussion คือการพูดคุยในกลุ่ม จะจับคนที่ผ่านเนี่ย 5 ถึง 10 คน นั่งเป็นกลุ่ม แล้วก็ให้หัวข้อมา แล้วก็ให้เราพูดคุยกันในกลุ่มเขาก็อาจจะเดินวนรอบๆ หรือว่าถ้าเขาสนใจคุณเขาก็จะบอกคุณยืนพูด คุณมีความคิดเห็นอย่างไร หรือว่าอาจจะให้พูดทุกคนเลย แล้วเขาก็จะประกาศอีกว่าใครได้ไปต่อ และต่อมาก็จะเป็นด่าน Final ด่านนี้เราจะเข้าไปคนเดียว แล้วเขาจะถามตามประวัติที่เราเขียนมา

และเหมือนว่าเขาจำหยกได้ตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้ายว่า คือหยกใส่ชุดเดิม เขาก็เลยถามว่า คุณจะไปอยู่โดฮา คุณรู้มั้ยโดฮาเป็นไง หยกก็ตอบว่ารู้ค่ะ แล้วมาทำงานเร็วสุดได้วันไหน แล้วถ้าได้ไปอยู่กับเพื่อนร่วมงานไปนอนกับเพื่อนร่วมงานที่เป็นชาติอื่นๆ โอเคหรือเปล่า เคยอยู่กับคนต่างชาติหรือเปล่า เพราะว่าเวลาเราไปพักที่อื่นก็จะมี Roomate ต่างชาติอยู่ด้วยกัน จะไม่ได้อยู่กับคนไทยด้วยกัน อย่างนี้โอเคไหม แค่นั้นจบเลยค่ะ Final แล้วแต่คนเลย และก็แล้วแต่ประวัติที่เราเขียนไปด้วยค่ะ

แอร์โฮสเตสสายต่างประเทศกับในประเทศ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

เอาเรื่องต่างก่อนนะคะ อย่างสายการบินในไทยจะมีความซีเรียสเรื่องของ Seniority ต้องมีความเคารพรุ่นพี่ค่อนข้างจะสูง ไม่ว่าจะอายุหรือจะอะไรก็ตาม ถ้าเขาทำงานมาก่อนเรา ถึงแม้ว่าเราไม่เคยทำงานกับเขา หรือไม่รู้จักก็ต้องยกมือไหว้สวัสดีค่ะ ถ้าไม่ไหว้นี่ก็อาจจะโดนเพ่งเล็งได้นะคะ แต่อย่างสายต่างประเทศเขาก็จะไม่ได้ซีเรียสว่าต้องไหว้กัน แต่ว่าก็มีการทักทายว่า “Hi Good Morning how are you” อะไรแบบนี้แทน แล้วก็สายต่างประเทศจะดีตรงที่ว่าเมื่อเรามีปัญหาอะไร เราสามารถพูดได้ตรงๆ เลย เช่น ถ้าไม่เห็นด้วยก็ “I don’t agree with you I don’t think so” เราสามารถพูดได้เลย

แต่ว่าในสายไทยเราก็ควรจะรู้ว่าบางทีไม่ควรพูดหรือพูดได้แบบเบาๆ ไม่รุนแรงมาก แล้วก็อย่างสายต่างประเทศจะมีรูทบินเยอะมาก ได้ไปเที่ยวบ่อย ยุโรป อเมริกา ไปหมดเลย ส่วนสายไทยก็จะไม่ได้มีไฟล์ตอเมริกา หรือยุโรปเยอะขนาดนี้ แต่หยกคิดว่าข้อดีของสายไทยก็คือได้อยู่บ้าน  ได้กินอาหารไทย เวลาเราไปอยู่ต่างประเทศนานๆ อย่างหยกทุกวันนี้ไปนอนประเทศนั้นประเทศนี้ กินอะไร สั่งอาหารไทยค่ะ อยากกินกระเพราหมูกรอบ อยากกินกระเพราหมู ข้าวไข่เจียวหรืออะไรแบบง่ายๆ แต่ถ้าเราอยู่บ้าน เราก็ได้อยู่กับพ่อแม่ ครอบครัว ได้รับประทานอาหารไทยด้วย แต่อย่างสายการบินต่างประเทศก็ต้องแบบเหมือนโหยหาอาหารไทยนิดนึงไปอยู่นานๆ จะฟิวได้แบบนั้นเลยค่ะ

ต้องมีบุคคลิกภาพอย่างไรถึงจะเป็นแอร์โฮสเตสได้

เหมือนที่หยกบอกไว้แล้วนะคะ คือบุคคลิกภาพที่ดีก็คือไม่ห่อไหล่ หลังไม่ค่อม นั่งหลังตรง แล้วก็ต้องเป็นคนที่ยิ้มง่ายไม่ว่าเราจะเหนื่อยแค่ไหน เราก็ต้องยิ้ม เวลาผู้โดยสารเดินขึ้นมา Boarding เราก็บอกผู้โดยสารว่า Hi Good Morning สวัสดีค่ะ สบายดีไหมคะ หรือไม่ว่าเราจะผ่านอะไรมาก่อนมาทำไฟล์ต

หยกจะถือคติเสมอว่าถ้าเราใส่ชุดยูนิฟอร์มแล้วเราต้องยิ้ม ส่วนเรื่องของการเรียนปรับบุคคลิกภาพ ส่วนตัวหยกเรียนนะคะเพราะตอนนั้นที่หยกสอบ แล้วไม่ได้สักที หยกไม่รู้ว่าข้อบกพร่องของหยกคืออะไร หยกคิดว่าการเรียนปรับบุคคลิกภาพจำเป็นนะคะ เพราะว่าครูที่สอนจะแก้ให้ตรงจุดเลยว่าถ้าคุณผิดตรงนี้นะ คุณควรแก้ตรงนี้ ประมาณนี้ค่ะ

งานของแอร์โฮสเตสคืออะไร

งานหลักๆ เลยคือดูแลเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสารบนเครื่องบิน ตั้งแต่เครื่องขึ้นจนเครื่องลง แต่ว่าก่อนผู้โดยสารจะขึ้นมา แอร์โฮสเตสก็จะมีหน้าที่ในการตรวจสอบอุปกรณ์ฉุกเฉินบนเครื่องบินให้พร้อมกับการใช้งาน

เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น เราก็ต้องพร้อมและต้องรู้แล้วว่าอุปกรณ์พร้อมที่จะใช้งานจริงๆ และยังมีอีกหน้าที่สำคัญเลยก็คือการทำให้ผู้โดยสารมีความสุขตลอดเส้นทางการบิน อย่างสายการบินหยกก็จะเป็นบริการแบบ Full service เลย เพราะเราเชื่อว่าการทำให้ผู้โดยสารมีความสุขเขาก็จะกลับมาใช้บริการสายการบินเราอีกค่ะ

แอร์โฮสเตสมีหน้าที่ยกกระเป๋าให้ผู้โดยสารใช่ไหม

คำถามนี้คนถามหยกเยอะมาก หยกขอชี้แจงแบบนี้แล้วกันค่ะ ถ้าตามกฎของคณะกรรมการบริหารการบินพลเรือน ฉบับที่ 69 ข้อที่ 5 ก็ต้องตอบเลยว่าใช่ค่ะ แอร์โฮสเตสมีหน้าที่ช่วยยกกระเป๋าให้ผู้โดยสาร แต่ว่าโดยส่วนตัวหยกและเพื่อนๆ แอร์โฮสเตสคนอื่นๆ เราก็จะช่วยเหลือผู้โดยสารมาโดยตลอดอยู่แล้ว

เพราะว่าแอร์โฮสเตสมีหน้าที่เยอะมากตอนที่ Boarding ผู้โดยสาร อย่างคนที่เขาทำครัว เขาต้องคอยเช็กว่าอาหารครบไหม ผู้โดยสารวันนี้มีทั้งมด 300 คน ผู้โดยสารบางคน เขาอาจจะมีการสั่งอาหารพิเศษขึ้นมา เช่นถ้าเขาเป็นโรคเบาหวาน ต้องกินอาหารสำหรับโรคเบาหวาน Gluten Free หรือกินมังสวิรัติ เราต้องเตรียมพร้อมเสมอเพื่อรับรองความสะดวกสบายให้ผู้โดยสาร หรือคนที่ยืนอยู่ใน Cabin เขาไม่ได้ยืนยิ้มสวยๆ อย่างเดียวนะคะ เขาต้องคอยเช็กด้วย คอยเช็กว่าผู้โดยสารคนไหนต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือเปล่า ผู้โดยสารที่ป่วย หรือมีอาการมึนเมามา

เราก็จะได้สังเกตได้ว่าคนนี้ป่วย เราก็จะได้บอกหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานของเราได้ทันท่วงที การที่เราช่วยเหลือผู้โดยสารมันไม่ได้แค่ช่วยเหลือผู้โดยสารอย่างเดียวนะคะ มันคือการช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน ช่วยเหลือสายการบินเราด้วย เพราะว่าการที่เราเครื่องขึ้นทันเวลา ก็ทำให้สายการบินเราไม่โดนปรับด้วยค่ะ

เล่าถึงประสบการณ์ไฟล์ตบินแรกหน่อย

ไฟล์ตบินแรกสายการบินหยกเขาเรียกว่า “ไฟล์ตทดลองงาน” คือถ้าใครไม่ผ่านก็ต้องกลับไปเทรนใหม่ ตอนนั้นรู้สึกกลัวมาก เขาจะให้กระดาษมาแล้วก็ออกไปทดลองงาน ความรู้สึกตอนนั้นคือเพิ่งเรียนเสร็จวันนี้ พรุ่งนี้ต้องไปบินแล้ว ทำงานจริงคือเราควบคุมอะไรไม่ได้เลย ในห้องเรียนเราก็เจอเพื่อนคนเดิม คุณครูคนเดิม แต่พอไปบิน เราไม่รู้จักใครเลย เริ่มเลยก็คือเข้าไป “สวัสดี ฉันชือ รัตต้านะ วันนี้ My first of serve flight บินวันแรก”

แต่ป้ายชื่อเรายังเป็น Trainee นะคะ เพราะเรายังไม่ผ่านการทดลองแล้วก็เอากระดาษไปให้หัวหน้า บอกว่าฉันมาสอบนะวันนี้ ไฟล์ตแรกถือว่าเป็นไฟล์ตน่ารักมากตอนนั้น หยกไปที่เมืองอัมริตสาร์ ประเทศอินเดีย ต้องบอกเลยว่าทั้งกัปตัน หัวหน้าแล้วก็เพื่อนร่วมงานทุกคนช่วยเหลือหยกหมดเลยในการแบบช่วยสอนงาน

เพราะว่าเวลาเราเรียนในห้องเรียนกับเวลาเราเจอสถานการณ์จริง มันก็ค่อนข้างจะแตกต่างกันนะคะเพือนก็บอกเห้ย You ตรงนี้ทำอย่างนี้ๆ นะคะส่วนมากอ่ะหยกไม่ได้ลงมือจริงเท่าไหร่ เพราะว่าเป็นไฟล์ตทดลองงานเขาก็จะให้แนะนำมากกว่า ว่าอันนี้ควรทำอะไรตรงไหนแล้วก็หัวหน้าวันนั้นน่ารักมากยังจำเขาได้ ทุกวันนี้ก็ยังเคยบินกับเขาอยู่บินฟีดเดียวกัน ซึ่งหยกว่าการมีความทรงจำที่ดีอ่ะทุกวันนี้หยกยังจำได้เลยเห็นมั้ยมันนานแล้วอ่ะ แบบว่ามันก็ทำให้เรามีความสุขค่ะ

ประสบการณ์น่าตื่นเต้นที่ทำให้คนเข้าใจว่าแอร์ไม่ได้ใช้แค่ความสวย

อย่างที่หยกเจอคือ หยกยืนอยู่ตรงครัวและจะไปเช็กห้องน้ำแล้วผู้โดยสารเปิดประตูห้องน้ำออกมาแล้วก็ล้มตรงเข่าหยกเลย ผู้โดยสารเป็นลม หยกก็ปฐมพยาบาลแล้วก็ตะโกนบอกเพื่อนเรียกเพื่อน แล้วก็ปฐมพยาบาลเสร็จ ผู้โดยสารปลอดภัย แล้วสามีเขาก็มาระหว่างที่เราปฐมพยาบาลแล้วบอกว่า ภรรยาเขาป่วยมาสัปดาห์นึงแล้ว น่าจะพักผ่อนไม่เพียงพอแล้วก็นั่งเครื่องบินนานไฟล์ตเมลเบิร์นจากโดฮา 15 ชั่วโมง แล้วก็ค่อนข้างมีอายุด้วย ก็เลยทำให้เป็นลม

แล้วก็มีอีกกรณีนึงเป็นคู่สามีภรรยาจะไปเที่ยวฮันนีมูนกัน เริ่มไฟล์ตด้วยการเปิดแชมเปญเลยจ้า จิบแชมเปญกัน แฮปปี้มาก และวันนั้นเครื่อง Mist turbulence ค่ะ ตกหลุมอากาศแฟนเขานั่งอยู่ จากที่เขาชิมแชมเปญกันแบบมีความสุข กลายเป็นเขาก็ร้องไห้ตัวสั่น เขากลัวการตกหลุมอากาศ หยกก็เลยจับมือเขาไว้แล้วบอกว่า “คุณไม่เป็นไรนะมันปลอดภัย We are safe” แล้วก็ชวนเขาคุยเรื่องอื่นๆ เหมือนอยากให้เขาลืมเรื่องที่ตกหลุมอากาศไป อยู่กับเขาจนเขาเชื่อว่ามันปลอดภัย แล้วเขาก็หายหยุดร้องไห้ ก็ประมาณนั้น

แล้วก็อีกกรณีนึงก็คือมันก็แบบเป็นเรื่องที่หยกชอบมาก บนไฟล์ตที่บินก็จะมีเด็กเยอะมาก หยกก็ชอบเป็นพี่เลี้ยงเด็กมันไม่ได้มีตำแหน่งนะคะ แต่ว่าชอบเสนอที่จะทำให้ เพราะเรารู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่เวลาเดินทางกับเด็กหรือน้องเล็กๆ  และบางทีคุณแม่เดินทางคนเดียวมันยากนะคะที่จะไปเข้าห้องน้ำจะอุ้มลูกอย่างไร หยกก็จะไปเสนอตัวว่า คุณถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยเหลือบอกฉันได้นะ บอกเพื่อนฉันได้ เดี๋ยวฉันช่วย หยกก็จะคอยอุ้มน้องให้เวลาคุณแม่ไปเข้าห้องน้ำหรือบางทีก็จะช่วยชงนมให้ด้วยเหมือนก็มีเหมือนกัน

สิทธิที่ได้รับจากการเป็นแอร์โฮสเตส

ขอยกตัวอย่างสายการบินที่หยกทำงานอยู่ก่อนนะคะ ก็คือว่าเราจะได้ตั๋วฟรี 1 ใบทุกปี เป็นตั๋วคอนเฟิร์มเลยนะไป-กลับไหนก็ได้อย่างเช่น โดฮา-กรุงเทพ โดฮา-นิวยอร์ก จะได้ทั้งไปทั้งกลับฟรี แล้วก็เรามีสิทธิในการซื้อตั๋วไอดีหรือตั๋วราคาพนักงาน 90% หรือ 50% อันลิมิเต็ดเลยแต่เฉพาะในสายการบินที่เราทำงานอยู่หรือสายการบินพันธมิตร แต่ว่าเราต้องจ่ายเงินเองนะคะแต่ว่าไม่มีข้อกำหนดนะว่าคุณซื้อได้แค่ 10 หรือ 20 ถ้าคุณว่าง คุณจะซื้อเป็นร้อยใบก็ได้ แต่ต้องจ่ายตังค์เอง แล้วนอกจากนั้นคุณพ่อ คุณแม่ พี่สาว พี่ชายเรา หรือน้องสาวลูกสาวเราสามารถใช้สิทธิได้เหมือนเราเลย

แล้วก็เรื่องค่ารักษาพยาบาล ไม่ว่าในไทยหรือในต่างประเทศจ่ายแค่ 10% สมมติหยกไปรักษา 1,000 บาทก็จ่ายแค่ 100 บาทเท่านั้น ค่าตัดแว่น ค่าคอนแทคเลนส์ จ่าย 10% เหมือนกัน ค่าทำฟันก็จ่ายแค่ 10% แล้วก็ยังมีค่าที่อยู่ที่พักฟรีด้วยอย่างหยกเป็นเบรดต่างประเทศก็นอนฟรี น้ำไฟฟรี ไม่ต้องจ่าย และก็ยังมีรถรับ-ส่งไปทำงาน ไม่ต้องนั่งแท็กซี่หรือไม่ต้องขับรถไปเอง แต่ต้องลงมาให้ทันเวลานะคะ แล้วก็การซัก อบ รีดยูนิฟอร์มก็ฟรีค่ะ ไม่ต้องทำเอง แต่ว่าอาจจะต่างกับสายการบินในไทยอย่างเช่นเรื่อง ประกันชีวิต หรือสิทธิในการใช้ตั๋วมากกว่าค่ะ

กระเป๋าของแอร์โฮสเตสมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง

ของหยกจะมี 3 ใบนะคะ ใบแรกเลยก็คือกระเป๋าถือเรียกว่า Hand bag ในนั้นจะมี Manual ก็คือเป็นคู่มือในการบิน เพราะว่าเราต้องอ่านคำถาม Safety เพราะว่าสายการบินหยก บินหลายฟีดมากมันจะไม่เหมือนกัน แต่ละวันเราก็ทวนก่อนว่าวันนี้เราบินเครื่องอะไรประตูฉุกเฉิน อุปกรณ์ฉุกเฉินมีอะไร เพราะฉะนั้นหยกจึงพกไว้ตลอดเป็นการทวนระหว่างทางด้วยว่าวันนี้เราบินเครื่องนี้นะประตูฉุกเฉินอยู่ตรงนี้ ความรับผิดชอบเราอยู่ตรงไหนบ้าง

แล้วก็จะมีพวกเครื่องสำอาง ลิปสติก มาสคาร่าอะไรประมาณนี้ แล้วก็มีเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ซึ่งไม่มีโควิดก็มีอยู่แล้วแอร์โฮสเตสทุกคนจะมีอยู่แล้ว แล้วก็จะมีครีมทามือ ครีมบำรุงมือ เพราะว่าบนเครื่องมือจะแห้งมาก เราต้องเช็กห้องน้ำ ทำความสะอาดล้างมือบ่อย มือก็จะแห้ง แล้วก็จะมีน้ำยาบำรุงเล็บด้วย เพราะว่าเล็บก็จะแห้ง แล้วก็ต่อมาคือกระเป๋าที่แอร์โฮสเตสชอบลากกัน ก็จะมีรองเท้าที่ใส่เปลี่ยนบนเครื่อง

เพราะว่าตอนเดินสนามบินต้องใส่ส้นสูงเพื่อความสวยงาม พอขึ้นเครื่องไปแล้วใส่ส้นสูงทำงานไม่ได้ 15-16 ชั่วโมง ก็เปลี่ยนเป็นใส่รองเท้าที่เป็นคัทชู มีส้นนิดๆ แล้วก็มีชุดยูนิฟอร์มที่เป็นแบบสำรองไว้เกิดฉีกขาด บางทีแบบน้ำหนักเราเยอะ แล้วเรายังไม่ได้ไปแก้ยูนิฟอร์มเราเอื้อมไปช่วยผู้โดยสารไปแล้วแบบกระดุมหลุดใส่หน้าผู้โดยสารก็มีค่ะ เราก็ต้องมีเปลี่ยน

แล้วก็จะมีชุด Business attire เพราะว่าบางทีเครื่องเราไปแลนที่ประเทศที่เป็น Turnaround หรือไป-กลับ แล้วมันเกิดว่าอากาศเปลี่ยนแปลงเครื่องไม่สามารถกลับมาที่เบรดได้ เราก็ต้องนอน เราก็ต้องมีชุดนั้นไว้สำรองไว้สำหรับนอนเหมือนกัน มีที่ขัดรองเท้าด้วย เพราะรองเท้าก็ต้องเงาตลอดให้ดูดีนะคะ แล้วก็มีของใช้ส่วนตัว มียาสีฟัน แปรงสีฟัน แล้วก็เครื่องสำอางอื่นๆ ต่อมากระเป๋าใบใหญ่อันนี้เราจะใช้เมื่อเราต้องไปนอนอย่างเช่นทำไฟล์ต 6-7 ชั่วโมงไปที่อังกฤษ ฝรั่งเศส หรือมาเอเชีย มากรุงเทพ เราต้องมี ในนั้นก็จะเป็นของใช้ส่วนตัวเลยใส่อะไรลงไปก็ได้ แต่ว่าบางประเทศอย่างออสเตรเลียหรืออเมริกา เขาจะบอกว่าห้ามนำอาหารเข้าประเทศเขาเลย เพราะฉะนั้นแล้วแต่ละประเทศที่เราไป

เราก็ต้องควรอ่านกฎดีๆ ว่าประเทศนี้สามารถเอาอะไรเข้าได้บ้าง

แอร์โฮสเตสเงินเดือนสูงจริงไหม

สำหรับสายการบินของหยก คิดว่าค่อนข้างสูงเหมือนกัน อย่างเด็กจบใหม่เพิ่งเรียนจบป.ตรีเลย ไปเริ่มงานสายการบินหยกเนี่ย 6 หลักเลยนะคะ อายุ 22 ปีเงินเดือน 6 หลัก แล้วเงินเดือนเขาจะมีแบบแยกออกเป็น 2 อย่างก็คือ Basic salary คือเงินเดือนพื้นฐานบิน ไม่บินก็ได้เงินเดือน คุณไม่มีบินคุณก็ได้เงินเดือนนี้ไป แต่ถ้าคุณมีชั่วโมงบินก็คือ Fighting Hours เขาจะบอกว่าชั่วโมงบินนึงได้เท่าไหร่ ถ้าเราได้บินยาวก็ได้เยอะ อย่างเช่น บินไปอังกฤษ 7 ชั่วโมงก็คูณไปกับจำนวนชั่วโมง แล้วถ้าได้นอนที่ต่างประเทศอีกก็ได้ค่าอาหารอีก เช้า กลางวัน เย็น 2-3พันบาท ก็แล้วแต่ค่าอาหารแต่ละประเทศจะไม่เท่ากัน อย่างไปสวิตเซอร์แลนด์จะได้เยอะมากได้ 4 พันกว่าบาทหรือ 5 พัน ก็อย่างที่บอกขึ้นอยู่กับค่าครองชีพแต่ละประเทศด้วย

แอร์โฮสเตสสามารถเปลี่ยนย้ายสายการบินได้ไหม

ถามว่าย้ายได้ไหมก็ตอบเลยว่าย้ายได้ค่ะ แต่ว่าต้องลาออกจากสายการบินปัจจุบันก่อน เพราะว่าเราไม่สามารถเป็นแอร์โฮสเตสนี้และจะย้ายไปทำสายนี้เหมือนกับ transfer ไม่ได้ค่ะ ต้องลาออกจากสายการบินที่ทำอยู่ก่อน หรือว่าถ้ายังอยู่สายเดิม ไม่อยากบินแล้ว เบื่อขึ้นไฟล์ตบินก็สามารถโยกย้ายได้ อันนี้คือโยกย้ายได้คือขอบริษัทว่า ฉันขอไปสอนได้ไหมเป็นคุณครูสอนแอร์โฮสเตสนะก็จะมีสอน Safety เรื่องความปลอดภัยหรือจะสอน Service ก็ได้ การบริการหรือว่าจะไปเป็นแผนก Grooming คอยเช็กหน้าผมแอร์โฮสเตสก่อนไปบินก็ได้ค่ะ

บอกข้อดี-ข้อเสียของการเป็นแอร์โฮสเตส

หยกคิดว่าทุกสายอาชีพทุกงานมีข้อเสียหมดค่ะ แต่ข้อดีอย่างแรกของการเป็นแอร์โฮสเตสเลยก็คือเงินเดือนค่อนข้างสูง เหมือนที่หยกบอกไป 6 หลักก็ถือเยอะมากๆ เลย แล้วก็ข้อดีอีกข้อก็คือเหมือนเขาจ้างเราเที่ยวฟรี ทุกวันคือการไปเที่ยวเวลาตารางบินออกหยกดูแล้วก็จะแพลนว่าเดี๋ยววันนี้หยกจะไปที่ไหนๆ หาเพื่อนไปช้อปปิ้ง เดี๋ยวไปซื้อนั่นนี่นะ แล้วถามคุณแม่ว่าวันนี้เอาอะไรไหมเพราะเดี๋ยวจะไปปารีสนะ ฝากซื้ออะไรไหม มันดูเหมือนชีวิตมันง่าย มันเอื้อมถึง แล้วอีกข้อเลยก็คือได้การฝึกภาษา เพราะว่าเราจะเจอเพื่อนทำงานเจอผู้โดยสารหลากหลายเชื้อชาติ

และหลากหลายวัฒนธรรม ทำให้เราเข้าใจสิ่งเหล่านั้นมากขึ้น อย่างเช่นเวลาเราเจอคนมาจากชาตินี้เราเห็นแบบนี้ เราก็จะเข้าใจ เพราะว่าเราเจอมาแล้ว ส่วนข้อเสียที่หยกมองก็คือน่าจะเป็นเรื่องการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ แล้วก็พักผ่อนไม่เป็นเวลาอย่างบางทีตี 2 ตี 3 ที่เราต้องนอนหลับพักผ่อนเราก็ต้องตื่นไปบินหรือบางทีเที่ยงคืนต้องตื่นไปบินก็มี มันก็จะเป็นเรื่องนี้มากกว่า แล้วก็เรื่องของผิวแห้ง และอีกข้อนึงที่สำคัญมากๆ ก็คือกฎของสายการบินของแต่ละสายการบินก็จะมีไม่เหมือนกัน บางสายการบินก็จะมีกฎเยอะมากๆ ค่ะ

มีอะไรอยากจะบอกกับผู้โดยสารไหม

ต้องบอกว่า “ขอบคุณนะคะ” ตั้งแต่ทำงานมาผู้โดยสารทุกคนน่ารักกับหยกมาก ผู้โดยสารเข้าใจแล้วก็เอ็นดูหยกตลอดเลย หยกอยากให้ผู้โดยสารทุกคนเอ็นดูหยกอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะว่าเวลาผู้โดยสารมีความสุขหยกก็มีความสุขไปด้วยค่ะ

ฝากถึงคนที่กำลังพยายามในการเป็นแอร์โฮสเตสหน่อย

หลายคนถามหยกมาว่าช่วงนี้ติดโควิดสายการบินต่างๆ ยังรับแอร์โฮสเตสอยู่ไหม ช่วงนี้ก็คงยังไม่รับเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 แต่หยกว่าเวลานี้เป็นเวลาสำคัญนะ ถึงสายการบินยังไม่ได้รับแต่ว่าถ้าคิดในแง่ดีคือเรามีเวลาในการเตรียมตัวเรามากขึ้นนะ อย่ารอให้สายการบินเปิดรับสมัครก่อนแล้วเราค่อยเตรียมตัว ให้เตรียมตัวตั้งแต่วันนี้เลย ฝึกพูดหน้ากระจก ฝึกภาษาอังกฤษ เรียนภาษาที่ 3 ถ้ามีเวลาว่างก็ฝึกความมั่นใจ ฝึกบุคลิกภาพ แล้วเมื่อไหร่ที่เขาเปิดรับสมัคร เราก็จะเป็นคนที่พร้อม

หยกไม่อยากให้มีความเชื่อที่ว่าอยู่ดีๆ เดินมางงๆ แล้วฉันก็ได้ มันไม่มีนะคะ ทุกคนฝึกมาทั้งนั้น อย่างหยกฝึกบุคลิกภาพ บางคนหยกดูทำไมเขาเป็นคนยิ้มเก่งจังเลย พูดไปยิ้มไป จะบอกว่าฝึกมาทั้งนั้นค่ะ การฝึกฝนทำให้เราเคยชิน แล้วหลายคนชอบถามว่าพี่หยกคะ ไป 1 ครั้งแล้วไม่ได้ทำไงคะ

หยกอยากก็จะบอกว่าของน้องแค่ครั้งเดียวเอง พี่เกือบ 2 ปีนะแล้ว อายุตอนนั้นก็ 27 ตอนนั้นที่สอบแอร์โฮสเตสอายุก็ถือว่าค่อนข้างเยอะด้วย ถ้าเทียบกับเด็กคนอื่น เด็กจบใหม่อายุ 21-22 ปี หน้าตาน่ารัก หยกอายุ 27 ปี ป้ายังได้เลย แต่ละครั้งที่ไปสมัครมามันทำให้เราพัฒนาตัวเอง เพราะเราจะรู้ข้อบกพร่องว่าวันนี้ฉันไม่ได้เพราะอะไร แล้วเราก็กลับมาพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ จนในวันนึงหยกเชื่อว่าทุกคนต้องทำได้ดูอย่างหยกสิ อายุ 27 ไล่สมัครตั้ง 2 ปีหยกยังได้ใน 2 ปีเลย อย่างเพื่อนหยกบางคนสอบแอร์โฮสเตสมาทั้งหมด 22 ครั้ง มากกว่าหยกอีก เขาก็ยังเป็นแอร์โฮสเตสได้เลย สิ่งสำคัญในการสอบแอร์โฮสเตสหรือไม่ว่าจะทำอะไร สิ่งที่ที่สำคัญเลยคือ “ท้อได้แต่อย่าหยุดทำ” อันนี้คือขอร้องเลยว่าอย่าหยุดทำ หยกเชื่อว่าทุกคนถ้าฝันอยากเป็นอะไร ทุกคนสามารถเป็นได้ขอแค่เราพยายามไปเรื่อยๆ เราไม่รู้หรอกว่าวันนี้เราจะทำมันได้ไหม อย่างไรก็ขอให้เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ ท่องไว้ท้อได้แต่อย่าหยุดทำค่ะ

สามารถติดตามคุณหยกได้ที่ช่องไหนบ้าง

ติดตามหยกได้ที่แฟนเพจ หรือว่า Youtube ที่ “Rattajourney แอร์โฮสเตสส่งต่อแรงบันดาลใจ” หยกมีบทสัมภาษณ์ มีไลฟ์สัมภาษณ์เพื่อนๆ แอร์โฮสเตส สจ๊วด และนักบินตลอดเลยนะ สามารถเข้ามาพูดคุยกับหยกได้ ทุกคำถามหยกตอบให้หมดเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ

เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับบทสัมภาษณ์จากประสบการณ์จริงจากแอร์โฮสเตสสายการบินต่างประเทศกว่าจะมาเป็นแอร์โฮสเตส มันไม่ง่ายเลยนะ สำหรับมือใหม่ที่อยากจะเป็นแอร์โฮสเตสน่าจะชอบบทสัมภาษณ์ที่เรานำมาฝากนะ อย่างไรขอทิ้งท้ายด้วยข้อความให้กำลังใจจากคุณหยกก็คือ ไม่ว่าเราจะทำอย่างไร ท้อได้แต่อย่าหยุดทำ บทสัมภาษณ์ครั้งหน้าจะเป็นใครคอยติดตามกันไว้ได้เลยนะ

ติดตามข่าวสารจาก หมีสาระ

Facebook : www.facebook.com/mheesaradotcom/

Twitter : https://twitter.com/mheesara

 

บทความที่เกี่ยวข้อง